how to post tiktok in 2024 to be awesome and increase views like crazy

เคล็ดลับยอดฮิต! วิธีโพสต์ TikTok ในปี 2024 ให้ปัง เพิ่มยอดวิวแบบพุ่งกระฉูด

ในยุคที่ TikTok กลายเป็น แพลตฟอร์ม สุดฮิต ที่ครองใจผู้ใช้ ทุกเพศทุกวัย การแข่งขัน ในวงการ  TikTok Creator ก็ดุเดือด ขึ้นเรื่อยๆ หากคุณต้องการ ให้คอนเทนต์ ของคุณโดดเด่น และได้รับยอดวิว ที่สูง การโพสต์ ในเวลาที่เหมาะสม เป็นอีกหนึ่ง กลยุทธ์ ที่ห้ามพลาด! บทความนี้ จะพาคุณไปอัปเดต เวลาที่ดีที่สุด ในการโพสต์  TikTok ประจำปี 2024 เพื่อ เพิ่ม ยอดวิว และการมีส่วนร่วม (Engagement) โดยอิงจากข้อมูลล่าสุดจาก eclincher

เวลาโพสต์ TikTok ที่ดีที่สุด ในปี 2024: แบ่งตามวัน

การเลือกเวลา ที่เหมาะสม ในการโพสต์  TikTok สามารถ เพิ่มยอด การเข้าถึง ของคอนเทนต์ ได้อย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ เวลา ที่แนะนำ สำหรับการโพสต์ ในแต่ละวัน โดยยึดตาม เวลามาตรฐาน Eastern Standard Time (EST):

วันจันทร์: 6.00 น. / 10.00 น. / 22.00 น.
วันอังคาร: 2.00 น. / 4.00 น. / 9.00 น.
วันพุธ: 7.00 น. / 8.00 น. / 23.00 น.
วันพฤหัสบดี: 9.00 น. / 00.00 น. / 19.00 น.
วันศุกร์: 5.00 น. / 13.00 น. / 15.00 น.
วันเสาร์: 11.00 น. / 19.00 น. / 20.00 น.
วันอาทิตย์: 7.00 น. / 8.00 น. / 16.00 น.

จากการวิเคราะห์ ช่วงเวลาที่ได้รับ Engagement สูงสุดคือ

วันอังคาร 9.00 น., วันพฤหัสบดีเที่ยงคืน, และวันศุกร์ 5.00 น.

เวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์ TikTok ปี 2024: แบ่งตามประเภทคอนเทนต์

ไม่เพียง แค่เวลา ในแต่ละวันเท่านั้น แต่การโพสต์ ในช่วงเวลา ที่เหมาะสม กับประเภทคอนเทนต์ ของคุณ ก็สำคัญไม่แพ้กัน:

– คอนเทนต์ ทั่วไป:
ช่วงเวลาเช้า (7.00-9.00 น.) และเย็น (19.00-23.00 น.) เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด

– คอนเทนต์ ความงาม และแฟชั่น:
แนะนำโพสต์ช่วง 19.00-21.00 น. โดยวันเสาร์เหมาะ กับการโพสต์ วิดีโอยาว เช่น การสอนแต่งหน้า

– คอนเทนต์ วิดีโอเกม:
เหล่าเกมเมอร์ นิยมโพสต์ ช่วงกลางคืน (21.00-00.00 น.) โดยเฉพาะ วันศุกร์ และวันหยุด

– คอนเทนต์ ตลก และบันเทิง:
ช่วง พักเที่ยง (11.00-13.00 น.) และตอนเย็น (17.00-19.00 น.) เป็นเวลา ที่ดี ในการโพสต์

– คอนเทนต์ ฟิตเนส และสุขภาพ:
โพสต์ช่วงเช้า ก่อนการออกกำลังกาย (6.00-8.00 น.) หรือช่วงเย็น (17.00-19.00 น.)

– คอนเทนต์ อาหาร:
ช่วงสาย (10.00-11.00 น.) เหมาะสำหรับเมนู Brunch และช่วงเย็น (16.00-18.00 น.) เหมาะสำหรับสูตรอาหารเย็น

– คอนเทนต์ สำหรับ ชาวต่างชาติ:
คำนึงถึง ไทม์โซน ของกลุ่มเป้าหมาย ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ เวลาเดินช้า กว่าไทย 7 ชั่วโมง

ยังไม่เคยทำ การตลาดออนไลน์ ไม่รู้จะเริ่มต้น ยังไงดี การตลาดออนไลน์ ควรเริ่มต้นจากตรงไหน : แนวทางและขั้นตอนที่ควรรู้ อ่านเพิ่มเติม

เคล็ดลับเพิ่ม Engagement ให้คอนเทนต์ TikTok

นอกจาก การเลือก เวลา ที่เหมาะสมใ นการโพสต์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับ คอนเทนต์ ของคุณ:

– TikTok Analytics: เข้าใจพฤติกรรม ของผู้ชม ว่าพวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมักดู คอนเทนต์ ของคุณ ช่วงเวลาใด

tiktok analytics

“TIKTOK Analytic” เป็นฟีเจอร์ที่จะเปิดโอกาส ให้เราสามารถ กดเข้าไป ดูข้อมูลเชิงลึก ที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ วางแผนสร้างคอนเทนต์ บน TIKTOK ในอนาคต
.
โดย “TIKTOK Analytic” จะแสดง ข้อมูลเชิงลึก ที่สำคัญ ๆ ซึ่งถูกแบ่งย่อย ออกมาเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

👉 “Overview”

ภาพรวม ของบัญชี  TIKTOK  ของเรา โดยจะมีข้อมูล ทั้งจำนวน การชมวิดีโอ คอนเทนต์ ของเรา จำนวน ผู้ติดตาม และ จำนวนของการที่โปรไฟล ของเรา ถูกคลิกดู

👉 “Content”

ข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับ คอนเทนต์ ของเรา ที่จะบอกว่า ภายใน 7 วันที่ ผ่านมา เราลงคอนเทนต์อะไรไปบ้าง และ มีคอนเทนต์ ใดบ้างในบัญชี ของเรา ที่ได้รับความนิยม

👉 “Follower”

ข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับ ผู้ติดตามต่าง ๆ เช่น ยอดไลก์ หรือ การมีส่วนร่วม (Engagement) ที่คอนเทนต์ ของเราได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมี ข้อมูเชิงลึก สำหรับ รายวิดีโอ ที่เราสามารถ ดูได้ว่า คอนเทนต์นั้น ถูกรับชม ไปนานเท่าไหร่ ได้รับความนิยม หรือไม่ และอื่น ๆ
.
อย่างไรก็ตาม การจะเข้าดู “TIKTOK Analytic” บัญชีของเรา จะต้องเป็น “Pro Account” เสียก่อน ซึ่งวิธีการเป็น Pro Account ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนดังนี้

1. Setting and Privacy
2. Manage My Account
3. Switch to Pro Account

เมื่อทำการเปลี่ยน เสร็จแล้ว “TIKTOK Analytic” จะอยู่ที่หน้า “Pro Account” ใน “Setting” ของเรา หรือถ้าใช้ผ่าน Desktop ก็สามารถเข้าไป ผ่านการเลื่อนเมาส์ผ่าน รูปโปรไฟล์ ที่มุมขวาบน เช่นเดียวกัน

– การคำนึงถึง ไทม์โซน (Time Zone): หากคุณ มีผู้ชม จากต่างประเทศ อย่าลืม คำนึง ถึงไทม์โซน ของพวกเขา

– ความสม่ำเสมอ ในการโพสต์: โพสต์ อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพื่อรักษา การมีส่วนร่วม จากผู้ชม

– คุณภาพ ของคอนเทนต์: คอนเทนต์ ที่น่าสนใจ และ มีคุณภาพ จะช่วยดึงดูด ผู้ชม ให้กลับมาชม อีกครั้ง

ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ คุณจะสามารถ เพิ่มยอดวิว และ Engagement บน TikTok ได้อย่างมีประสิทธิภาพในปี 2024!

ตาคุณแล้ว
ลองปรับเวลาโพสต์ ของคุณดู ได้ผลลัพภ์ ดีขึ้น ยังไงมา แบ่งปัน ประสบการณ์ กันได้ใน เพจ wirewolfstudio นะคับ

บริการรับทำ SEO ที่ Wirewolfstudio

ให้บริการ เกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้ บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย ที่กำลังมองหา ผลิตภัณฑ์ หรือ บริการ ในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ ที่เหมาะสม ผ่านช่องทาง ออนไลน์ต่างๆ บริการ ของเรา ครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ รับทำ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่ง ในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย

บริการรับทำ TikTok Ads

ที่ Wirewolfstudio พร้อมช่วย บริการทำ TikTok Ads เพื่อช่วยให้ แบรนด์ สินค้าและบริการ ของผู้ประกอบการ เข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นโดยมีผู้เชี่ยวชาญ คอยดูแล ให้คำปรึกษา และช่วยเหลือ ผู้ประกอบการ อย่างตรงไปตรงมา

cutomer dna 2024
เจาะลึก DNA ลูกค้า 2024: ไขความลับ สู่ยอดขายทะลุเป้า!

ในยุคที่ การตลาดออนไลน์ ก้าวหน้าไปไกล ความเข้าใจลูกค้า เชิงลึก กลายเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งกว่าเดิม การเจาะลึก “DNA ลูกค้า” คือการทำความเข้าใจ ลักษณะ พฤติกรรม และความต้องการของ ลูกค้า ในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ นักการตลาด สามารถออกแบบแคมเปญ ที่ตรงใจ และสร้างประสบการณ์ ที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้าได้

Micro-Moments คือโอกาสทอง

ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน “Micro-Moments” เป็นโอกาสทอง ที่นักการตลาด ไม่ควรมองข้าม Micro-Moments คือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผู้บริโภคหยิบสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ขึ้นมา เพื่อ ค้นหา ข้อมูล ตัดสินใจ หรือดำเนินการบางอย่าง ซึ่งมีความสำคัญมากในกระบวนการตัดสินใจของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น:
ต้องการซื้อของ: ลูกค้า ค้นหา ข้อมูล เกี่ยวกับ สินค้า ที่ต้องการ เช่น รีวิว หรือ ราคา ที่ดีที่สุด ในช่วงเวลานี้ นักการตลาด สามารถแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้อง หรือ ข้อเสนอพิเศษ เพื่อกระตุ้น ให้เกิดการซื้อทันที
กำลังมองหา ร้านอาหาร: ลูกค้า อาจใช้ Google Search เพื่อ ค้นหา ร้านอาหาร ใกล้เคียงที่มี การรีวิว ดี ๆ นี่เป็นโอกาสที่ แบรนด์ สามารถดึงดูด ลูกค้า ด้วยการแสดงร้าน ที่มีโปรโมชั่นพิเศษ หรือมีคะแนนรีวิวสูง
วิธีทำให้ แบรนด์ ดึงดูลูกค้า อ่านเพิ่มเติม

ในช่วง Micro-Moments นี้ ความเร็ว และความแม่นยำในการตอบสนอง เป็นกุญแจสำคัญ ที่จะทำให้ ลูกค้า ตัดสินใจ เลือกแบรนด์ของคุณ

Data Privacy สำคัญสุดๆ

ในยุคของข้อมูลส่วนบุคคล และการใช้ข้อมูล ในการตลาด ข้อมูลส่วนบุคคล ของลูกค้า มีความสำคัญอย่างยิ่ง การจัดการข้อมูลเหล่านี้ อย่างถูกต้อง โปร่งใส และน่าเชื่อถือ จะสร้างความไว้ใจ ให้กับลูกค้า และเป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ หรือสินค้าของคุณอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ควรทำ:
เคารพข้อมูลส่วนบุคคล: รวบรวม และใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ โดยต้องมีการขอความยินยอมจากลูกค้าก่อนทุกครั้ง
สื่อสารอย่างโปร่งใส: แจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน เกี่ยวกับวิธีการใช้ข้อมูล และจุดประสงค์ ในการใช้ข้อมูล เพื่อสร้างความมั่นใจ และความไว้วางใจ
รักษาความปลอดภัยของข้อมูล: ใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัยในการป้องกัน การรั่วไหล ของข้อมูล และสร้างมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด

การที่ลูกค้ารู้สึกว่า ข้อมูลของพวกเขาถูกเคารพ และได้รับการดูแลอย่างดี จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และยั่งยืนระหว่างลูกค้า และแบรนด์

ปิดการขาย ออนไลน์ไม่ปัง ยอดไม่พุ่ง ต้องแก้ด่วน! เว็บไซต์ & SEO ตัวช่วยโกยกำไรในยุคดิจิทัล อ่านเพิ่มเติม

Hyper-Personalization ตอบโจทย์ แบบเฉพาะบุคคล

การตลาดแบบ Hyper-Personalization เป็นเทรนด์ที่มาแรง ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการนำเสนอสินค้า คอนเทนต์ หรือโปรโมชั่นที่ปรับให้ตรงกับความต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับลึก ผ่านการใช้เครื่องมือ ที่ทันสมัย

วิธีการที่สามารถนำไปใช้ได้:
CRM Platform: ใช้แพลตฟอร์มจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า ในการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แบบละเอียด เช่น ประวัติการซื้อ การเข้าชมเว็บไซต์ ความชอบส่วนตัว เพื่อทำให้การสื่อสาร และการนำเสนอสินค้ามีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
Marketing Automation: ใช้ระบบอัตโนมัติ ในการส่งคอนเทนต์ หรือโปรโมชั่นที่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า ในเวลาที่เหมาะสม
AI-Powered Analytics: ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล ขนาดใหญ่ เพื่อหาความสัมพันธ์ และแนวโน้มใน การตัดสินใจ ซื้อของลูกค้า เพื่อช่วยในการสร้างแคมเปญ ที่ตรงใจ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น:
– ลูกค้า ที่มักซื้อสินค้า ประเภทเสื้อผ้าในช่วงปลายเดือน สามารถ รับข้อเสนอพิเศษ ในช่วงเวลานั้น ผ่านทางอีเมล หรือ แอปพลิเคชัน
– การส่งคอนเทนต์ ที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า ผ่านช่องทางที่ลูกค้าใช้งานบ่อย เช่น ส่งบทความ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ผ่านทางแอปพลิเคชันฟิตเนส

อยากเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ อ่านเพิ่มเติม

Tools ที่ช่วยสนับสนุน

ในการนำกลยุทธ์ที่กล่าวมา ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีเครื่องมือ ที่ช่วยในการวิเคราะห์ และจัดการข้อมูล รวมถึงการสร้างการตลาด ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง:

CRM Platform: แพลตฟอร์มจัดการข้อมูลลูกค้า เพื่อทำให้สามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด

CRM Platform (Customer Relationship Management Platform)

 คืออะไร?
CRM Platform เป็นซอฟต์แวร์ ที่ช่วยจัดการข้อมูล ลูกค้า และความสัมพันธ์ระหว่าง แบรนด์ กับ ลูกค้า ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูล การติดตามพฤติกรรม การบริหารจัดการการขาย จนถึงการบริการหลังการขาย CRM เป็นหัวใจสำคัญ ในการทำให้ธุรกิจ สามารถสร้าง และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้

ตัวอย่าง Tools:

salesforce
–  Salesforce: เป็นแพลตฟอร์ม CRM ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น การจัดการลูกค้า การติดตามการขาย และการสนับสนุนลูกค้า

hubspot

HubSpot CRM : เป็นแพลตฟอร์ม CRM ที่ใช้งานฟรี เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง มีฟีเจอร์ครบครันตั้งแต่การติดตามลูกค้า ไปจนถึงการจัดการแคมเปญการตลาด

zoho CRM
Zoho CRM:
อีกหนึ่งตัวเลือกที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ และเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ถึงขนาดใหญ่

การนำไปใช้ได้จริง:
– การติดตามลูกค้า: ใช้ CRM ในการบันทึก และติดตามการสื่อสารกับลูกค้าทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการ ส่งอีเมล การโทรศัพท์ หรือการประชุม ซึ่งช่วยให้ทีมขายสามารถ ติดตาม โอกาสในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การแบ่งกลุ่มลูกค้า: CRM สามารถใช้ในการแบ่งกลุ่มลูกค้า ตามข้อมูลที่ได้ เก็บรวบรวม เช่น การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมการซื้อ หรือความสนใจ เพื่อส่งเสริมการตลาดที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น

Marketing Automation: ระบบอัตโนมัติที่ช่วยในการส่งคอนเทนต์หรือแคมเปญที่ตรงเวลาและตรงกลุ่มเป้าหมาย

คืออะไร?
Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อจัดการ และดำเนินการแคมเปญการตลาดโดยอัตโนมัติ ช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความแม่นยำในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล การโพสต์สื่อสังคมออนไลน์ หรือการจัดการแคมเปญโฆษณา Marketing Automation ยังช่วยในการวิเคราะห์ ผลลัพธ์ ของแคมเปญ อย่างละเอียดอีกด้วย

ตัวอย่าง Tools:

Marketo
Marketo: แพลตฟอร์มที่ครบวงจรในการจัดการแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่

Pardot
Pardot: เครื่องมือ Marketing Automation ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Salesforce เหมาะสำหรับการตลาด B2B

Mailchimp
Mailchimp: แพลตฟอร์มที่เน้นการส่งอีเมลแคมเปญ แต่มีฟีเจอร์การตลาดอัตโนมัติที่ใช้งานง่าย และเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

การนำไปใช้ได้จริง:
– การส่งอีเมลอัตโนมัติ: ใช้ Marketing Automation ในการส่งอีเมล ต้อนรับลูกค้าใหม่อัตโนมัติ หรือการส่งอีเมลติดตาม เมื่อมีการละทิ้งตะกร้าสินค้า
– การวิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญ: ใช้ Marketing Automation ในการติดตามผลลัพธ์ ของแคมเปญ การตลาด เช่น จำนวนการเปิดอีเมล คลิก หรือ Conversion เพื่อปรับปรุงแคมเปญในอนาคต

AI-Powered Analytics: เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ AI เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับลูกค้า

คืออะไร?
AI-Powered Analytics คือการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อค้นหารูปแบบ แนวโน้ม และข้อมูลเชิงลึกที่ซับซ้อน ซึ่งมนุษย์อาจไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว AI-Powered Analytics ช่วยให้นักการตลาด สามารถตัดสินใจที่ชาญฉลาด และมีข้อมูลเป็นพื้นฐานในการดำเนินการ

ตัวอย่าง Tools:


Google Analytics with AI (Google Analytics 4): ใช้ AI ในการทำนายพฤติกรรมผู้ใช้ และวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์อย่างลึกซึ้ง

Adobe Analytics
Adobe Analytics: แพลตฟอร์มที่มีการวิเคราะห์เชิงลึก และการรายงานด้วย AI เพื่อช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

IBM Watson Analytics
IBM Watson Analytics: ระบบ AI ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และสร้างภาพรวมเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น

การนำไปใช้ได้จริง:
– การคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า: ใช้ AI-Powered Analytics ในการทำนายว่าลูกค้า กลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะทำการซื้อซ้ำ หรือกลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะละทิ้งแบรนด์ เพื่อใช้ในการออกแบบแคมเปญที่ตรงเป้าหมาย
– การวิเคราะห์การตลาดแบบเรียลไทม์: ใช้ AI-Powered Analytics ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้ทันที

สรุป

การเจาะลึก “DNA ลูกค้า” ไม่ใช่เพียงแค่การรู้จักลูกค้า แต่ เป็นการเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น การใช้ Micro-Moments, การเคารพใน Data Privacy และการทำ Hyper-Personalization จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนกับลูกค้า และที่สำคัญคือการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการสนับสนุนการตลาดที่ตรงกับยุคดิจิทัลนี้

ตาคุณแล้ว
อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม แก้ไขเฉพาะทาง ด้านธุรกิจของคุณ สามารถปรึกษาเราได้ 

อ้างอิ้งข้อมูลเพิ่มเติม : 2024 New Report Of DNA Testing Market Size, Share and Scope

Checklist เช็คด่วน! ทำไมธุรกิจ 10 ปียังไม่มีคนรู้จัก (พร้อมวิธีแก้แบบมือโปร)

เปิดร้านมาเป็นสิบปี มีหน้าร้าน มีเว็บไซต์ มีเพจเฟซบุ๊ก แต่ทำไมลูกค้ายังไม่รู้จักสักที? ปัญหานี้อาจไม่ได้อยู่ที่ สินค้า หรือ บริการของคุณ แต่อาจเป็นเพราะคุณมองข้ามเรื่อง Brand Awareness ผมแนะนำลองเช็คตัวเองดูว่า ธุรกิจของคุณเข้าข่าย 7 ข้อนี้หรือไม่?

1. ขาด Brand Identity ที่ชัดเจน:

โลโก้ ชื่อแบรนด์ โทนสี สไตล์การสื่อสาร ไม่สอดคล้องกัน หรือไม่ดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
วิธีแก้: วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ออกแบบ Brand Identity ให้สื่อสารตรงจุด สร้างความแตกต่าง และจดจำง่าย

เคล็ดลับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ อ่านเพิ่มเติม

ขาด Brand Identity ที่ชัดเจน: จุดเริ่มต้นของปัญหา Brand Awareness

ลองนึกภาพ ร้านอาหารตามสั่ง ที่ใช้ป้ายไวนิลสีฉูดฉาด ตัวหนังสือ ฟอนต์ แฟนซี แต่ดันขาย อาหารคลีน เพื่อสุขภาพ ภาพลักษณ์ ที่ไม่สอดคล้องกันนี้ ย่อมสร้างความสับสน ไม่น่าเชื่อถือ และยากต่อการจดจำ นั่นคือผลเสียของการขาด Brand Identity ที่ชัดเจน

Brand Identity คืออะไร?

เปรียบง่ายๆ Brand Identity คือ “ชุดยูนิฟอร์ม” ของแบรนด์ เป็นการผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ที่สื่อสารตัวตนของแบรนด์ เช่น

  • ชื่อแบรนด์ (Brand Name): สั้น กระชับ จดจำง่าย สื่อถึงสินค้า/บริการ

  • โลโก้ (Logo): สัญลักษณ์ ออกแบบให้สะท้อนภาพลักษณ์ และจดจำง่าย

  • โทนสี (Color Palette): ใช้สีที่สื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึก และกลุ่มเป้าหมาย

  • รูปแบบตัวอักษร (Typography): เลือกฟอนต์ที่สื่อถึงบุคลิก และอ่านง่าย

  • สไตล์การสื่อสาร (Tone of Voice): ภาษา ภาพ เสียง ที่ใช้สื่อสารกับลูกค้า

  • สโลแกน (Slogan): ประโยคสั้นๆ ที่สื่อถึงจุดเด่น

ตัวอย่าง Brand Identity ที่แข็งแกร่ง:

apple-logo

  • Apple: เรียบง่าย หรูหรา เทคโนโลยีล้ำสมัย (โลโก้ผลแอปเปิ้ล สีขาว เงิน ภาษาสื่อสารเรียบง่าย)

  • Starbucks: อบอุ่น ผ่อนคลาย พรีเมียม (โลโก้ไซเรน สีเขียว ร้านตกแต่งสไตล์ Third Place)

    Starbucks

วิธีแก้ไขปัญหา Brand Identity:

  1. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย: ศึกษาพฤติกรรม ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ เพื่อออกแบบ Brand Identity ให้สื่อสารตรงจุด

  2. กำหนด Core Values: คุณค่าหลักของแบรนด์ เช่น ความซื่อสัตย์ นวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  3. สร้าง Brand Story: เรื่องราวความเป็นมา แรงบันดาลใจ เพื่อสร้างความผูกพันธ์กับลูกค้า

  4. ออกแบบองค์ประกอบให้สอดคล้องกัน: โลโก้ สี ฟอนต์ ภาษา ต้องไปในทิศทางเดียวกัน

  5. สื่อสาร Brand Identity ให้ชัดเจน: ทุกช่องทางการสื่อสาร ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

การสร้าง Brand Identity ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การออกแบบโลโก้สวยๆ แต่คือการสร้าง “DNA” ให้แบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าจดจำ เข้าใจ และเชื่อมั่นในตัวตนของแบรนด์ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Brand Awareness ที่แข็งแกร่งในระยะยาว

2. เว็บไซต์ไม่ติดหน้าแรก Google:

ไม่มีใครรู้จักเว็บไซต์ของคุณ หากค้นหาบน Google แล้วไม่เจอในหน้าแรกๆ
วิธีแก้: ทำ SEO ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google ด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

ปิดการขายออนไลน์ไม่ปัง ยอดไม่พุ่ง ต้องแก้ด่วน! เว็บไซต์ & SEO ตัวช่วยโกยกำไรในยุคดิจิทัล อ่านเพิ่มเติม

เว็บไซต์ไม่ติดหน้าแรก Google: ปัญหาใหญ่ที่ธุรกิจ 10 ปียังไม่ดังต้องแก้!

เปิดร้านมาเป็น 10 ปี แต่เหมือนเปิดร้านอยู่หลังเขา หากลูกค้าค้นหาสินค้า/บริการที่คุณขายบน Google แต่เว็บไซต์คุณไม่ติดหน้าแรกๆ เหมือนไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์ นี่คือสัญญาณเตือนว่าคุณต้องทำ SEO อย่างเร่งด่วน!

SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?

SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google เมื่อมีคนค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง เปรียบเหมือนการ “แต่งหน้าให้เว็บไซต์” เพื่อดึงดูดให้ Google มองเห็น และนำเสนอเว็บไซต์ของคุณให้กับผู้ใช้งาน

ทำไม SEO ถึงสำคัญ?

  • เพิ่ม Traffic: คนเห็นเว็บไซต์มากขึ้น โอกาสขายสินค้า/บริการก็มากขึ้น

  • สร้าง Brand Awareness: ยิ่งติดอันดับสูง ยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือ

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: คนที่ค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง มีแนวโน้มเป็นลูกค้า

  • ผลลัพธ์ยั่งยืน: ต่างจากโฆษณา SEO ให้ผลลัพธ์ในระยะยาว

วิธีทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google:

  1. ค้นหา Keyword: ใช้เครื่องมือ เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest วิเคราะห์ว่า ลูกค้าใช้ Keyword อะไรค้นหาสินค้า/บริการของคุณ

    • ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง อาจใช้ Keyword “เสื้อผ้าแฟชั่น ราคาถูก” “เดรสทำงาน ไซส์ใหญ่”

  2. ปรับแต่ง On-Page SEO:

    • ใส่ Keyword ใน Title Tag, Meta Description: ส่วนที่ปรากฎบน Google Search

    • ใช้ Keyword ในเนื้อหา: แต่ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ยัด Keyword จนอ่านไม่รู้เรื่อง

    • ปรับแต่งรูปภาพ: ตั้งชื่อไฟล์ ใส่ Alt Text ให้ Google เข้าใจว่า รูปภาพเกี่ยวกับอะไร

  3. สร้าง Backlink คุณภาพ: ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงมาเว็บไซต์ของคุณ

    • ตัวอย่าง: เขียนบทความลงเว็บไซต์พันธมิตร ใส่ลิงก์กลับมาเว็บไซต์ของคุณ

  4. ปรับปรุง User Experience:

    • เว็บไซต์โหลดเร็ว: ไม่มีใครชอบรอนาน

    • ใช้งานง่าย บนทุกอุปกรณ์: มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์

    • เนื้อหาน่าสนใจ มีประโยชน์: ทำให้คนอยากอยู่ในเว็บไซต์นานๆ

เข้าใจ SEO อย่างละเอียด อ่านเพิ่มเติม

SEO ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใช้เวลา ความสม่ำเสมอ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้เว็บไซต์ของคุณ กลายเป็น “หน้าร้านร้าง” บนโลกออนไลน์ เริ่มต้นทำ SEO วันนี้ เพื่ออนาคตของธุรกิจ!

3. คอนเทนต์ไม่น่าสนใจ ไม่สม่ำเสมอ:

คอนเทนต์บนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ไม่ดึงดูด ไม่ให้ประโยชน์ หรือไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
วิธีแก้: ผลิตคอนเทนต์คุณภาพ สม่ำเสมอ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง และนำเสนออย่างน่าสนใจ

คอนเทนต์ไม่ปัง ยอดขายพัง! แก้ด่วน! คอนเทนต์ไม่น่าสนใจ ไม่สม่ำเสมอ

มีเว็บไซต์สวยหรู มีเพจเฟซบุ๊กดูดี แต่กลับไร้ซึ่ง “ลูกค้า” สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะ “คอนเทนต์” บนโลกออนไลน์ของคุณ ไม่โดนใจ ไม่ตอบโจทย์ จนทำให้ลูกค้าเลื่อนผ่าน หรือแม้แต่กด Unfollow หนีหาย!

คอนเทนต์แบบไหนที่เรียกว่า “ไม่น่าสนใจ ไม่สม่ำเสมอ”?

  • เงียบเป็นเป่าสาก: โพสต์ที หายไปเป็นเดือน เหมือนร้านเปิดบ้าง ปิดบ้าง

  • ขายของอย่างเดียว: เน้นขายสินค้า/บริการ จนลืมให้คุณค่ากับลูกค้า

  • คอนเทนต์ไม่หลากหลาย: รูปแบบเดิมๆ น่าเบื่อ ไม่สร้างสรรค์

  • ภาษาเป็นทางการเกินไป: ภาษากฎหมาย ภาษาราชการ อ่านยาก

  • ไม่รู้ว่า กลุ่มเป้าหมายอยากรู้อะไร: คอนเทนต์ไม่ตรงใจ ไม่โดน

     

  • content is the king

สร้างคอนเทนต์ให้ปัง ดึงลูกค้าให้ตรึม!

  1. รู้จักกลุ่มเป้าหมาย: ศึกษาพฤติกรรม ความสนใจ ปัญหา ความต้องการ

  2. กำหนด Content Calendar: วางแผน กำหนดหัวข้อ วันเวลาโพสต์ อย่างสม่ำเสมอ

  3. สร้างสรรค์คอนเทนต์หลากหลาย:

    • บทความ: ให้ความรู้ แก้ปัญหา เช่น “5 เทคนิคเลือกซื้อ…” “เคล็ดลับ…”

    • Infographic: นำเสนอข้อมูลน่าสนใจ เข้าใจง่าย เช่น สถิติ ขั้นตอน

    • วิดีโอ: รีวิวสินค้า สอนใช้งาน สัมภาษณ์ เบื้องหลัง ไลฟ์สด

    • ภาพ: ภาพสวยคมชัด สื่อความหมาย

    • กิจกรรม: เกม แจกของรางวัล สร้าง Engagement

  4. ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง: ช่วยให้คนค้นหาเจอ เช่น ร้านขายกาแฟ ใช้ Keyword “กาแฟสด คาเฟ่ ร้านกาแฟ”

  5. ภาษาเข้าใจง่าย: เป็นกันเอง เหมือนคุยกับเพื่อน

  6. ใส่ใจ Visual: รูปภาพ วิดีโอ ต้องสวยงาม ดึงดูดสายตา

  7. กระตุ้นให้เกิด Engagement: ตั้งคำถาม ชวนแสดงความคิดเห็น

  8. วัดผล วิเคราะห์ ปรับปรุง: ใช้เครื่องมือ เช่น Google Analytics ดูว่า คอนเทนต์ไหน ประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง: ร้านขายต้นไม้ อาจสร้างคอนเทนต์หลากหลาย เช่น

  • บทความ: “5 ต้นไม้ฟอกอากาศยอดฮิต” “วิธีดูแลแคคตัสเบื้องต้น”

  • วิดีโอ: รีวิวสายพันธุ์ใหม่ สอนเปลี่ยนกระถาง ไลฟ์สดขายต้นไม้

  • ภาพ: ภาพต้นไม้สวยๆ จัดมุมถ่ายรูป

อย่าลืมว่า “Content is King” คอนเทนต์คือ กุญแจสำคัญ ในการสร้าง Brand Awareness ดึงดูดลูกค้า และสร้างยอดขาย ลงทุนกับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพ สม่ำเสมอ รับรองว่า ธุรกิจของคุณ ปัง! แน่นอน

4. ละเลยพลังของ Social Media:

ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ หรือใช้แบบขอไปที ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
วิธีแก้: เลือกใช้โซเชียลมีเดียให้เหมาะกับธุรกิจ สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ตอบคำถาม และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

ละเลยโซเชียลมีเดีย = พลาดโอกาสทอง สร้างธุรกิจให้ปัง!

ในยุคที่ใครๆ ก็ใช้โซเชียลมีเดีย หากธุรกิจของคุณยังไม่เฉิดฉายบนโลกออนไลน์ อาจถือว่าพลาดโอกาสสำคัญในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มมหาศาล! การใช้โซเชียลมีเดียแบบขอไปที ไม่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า หรือแม้แต่ปล่อยให้ร้างไปเลย ย่อมไม่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

สัญญาณเตือน! คุณกำลังใช้โซเชียลมีเดียแบบ “เสียเปล่า” หรือไม่?

  • เปิดเพจทิ้งไว้เฉยๆ: นานๆ โพสต์ที ไม่ตอบคำถาม ไม่สนใจคอมเมนต์

  • คอนเทนต์น่าเบื่อ: เน้นขายของ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่ดึงดูด

  • ไม่รู้จัก Target ไม่รู้ใจลูกค้า: โพสต์อะไรไป ก็ไม่มีคนสนใจ

  • ไม่ทำ Ads: หวังผลแบบ Organic อย่างเดียว เข้าไม่ถึงคนหมู่มาก

  • ไม่วิเคราะห์ผลลัพธ์: ไม่รู้ว่า อะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค

ปลุกพลังโซเชียลมีเดีย! ปฏิบัติการพิชิตใจลูกค้า:

  1. เลือก Platform ให้เหมาะ:

    • Facebook: เข้าถึงคนทุกกลุ่ม ขายสินค้า บริการ

    • Instagram: ภาพสวย สไตล์ ไลฟ์สไตล์

    • TikTok: วิดีโอสั้น บันเทิง คนรุ่นใหม่

    • LINE: สื่อสาร ใกล้ชิด โปรโมชั่น CRM

  2. สร้าง Content Calendar: วางแผน กำหนดหัวข้อ วันเวลาโพสต์

  3. สร้างสรรค์คอนเทนต์ ตรงใจ Target:

    • ให้ความรู้ แก้ปัญหา: เช่น บทความ Infographic วิดีโอสอน

    • สร้างความบันเทิง: เช่น คลิปตลก เกม กิจกรรม

    • สร้างแรงบันดาลใจ: เช่น คำคม เรื่องราว

    • โปรโมชั่น: ส่วนลด ของแถม

  4. สร้าง Engagement:

    • ตั้งคำถาม: เช่น “คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน”

    • จัดกิจกรรม: เช่น โหวต ตอบคำถาม แชร์รูป

    • Live พูดคุย: ใกล้ชิด เป็นกันเอง

  5. ตอบคำถาม ข้อความ: รวดเร็ว สุภาพ

  6. ลงทุนกับ Ads: เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ตรงจุด

  7. วัดผล วิเคราะห์ ปรับปรุง: ใช้เครื่องมือ เช่น Facebook Insights

ตัวอย่าง: ร้านอาหาร อาจใช้โซเชียลมีเดีย ดังนี้

  • Facebook: โพสต์เมนู โปรโมชั่น รูปภาพอาหารสวยๆ รีวิว

  • Instagram: ลงรูปอาหาร สไตล์ Minimal จัด Giveaway

  • LINE: ส่ง Broadcast แจ้งโปรโมชั่น

โซเชียลมีเดีย คือ เครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยสร้าง Brand Awareness เข้าถึงลูกค้า และเพิ่มยอดขาย อย่าปล่อยให้โซเชียลมีเดียของคุณ เป็นเพียง “สุสานดิจิทัล” ลงมือทำตั้งแต่วันนี้ รับรองว่า ธุรกิจของคุณจะไม่เหมือนเดิม!

5. ไม่ลงทุนกับการตลาดออนไลน์:

ยึดติดกับการตลาดแบบเดิมๆ ไม่กล้าลงทุนกับการตลาดออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads
วิธีแก้: ศึกษาและจัดสรรงบประมาณสำหรับการตลาดออนไลน์ เลือกช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจ

ไม่รู้จะเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ยังไง อ่านเพิ่มเติม

ไม่ลงทุนกับการตลาดออนไลน์ = ปิดกั้นโอกาสเติบโตของธุรกิจ!

การทำธุรกิจในยุคดิจิทัล หากยังยึดติดกับการตลาดแบบเดิมๆ ไม่กล้าลงทุนกับ การตลาดออนไลน์ เหมือนคุณกำลัง “พายเรือขายของในแอ่งน้ำ” ในขณะที่คู่แข่ง “ล่องเรือสำราญ ออกสู่ทะเล” ไปคว้าลูกค้าทั่วโลก

ทำไมต้องลงทุนกับการตลาดออนไลน์?

  • เข้าถึงลูกค้า Target ได้ตรงจุด: กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ตามพฤติกรรม ความสนใจ

  • วัดผลได้ แม่นยำ: วิเคราะห์ ข้อมูล ประสิทธิภาพ เห็นผลลัพธ์เป็นตัวเลข

  • เข้าถึงคนหมู่มาก ในงบประมาณจำกัด: คุ้มค่า กว่าการตลาดแบบเดิมๆ

  • สร้าง Brand Awareness ได้รวดเร็ว: เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จำนวนมาก ในเวลาอันสั้น

ช่องทางการตลาดออนไลน์ ที่น่าสนใจ:

  • Search Engine Marketing (SEM):

    • Google Ads: โฆษณา บน Google Search แสดงผล เมื่อคนค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง

  • Social Media Marketing (SMM):

    • Facebook Ads, Instagram Ads: โฆษณา บน Facebook Instagram เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ตาม Demographic ความสนใจ

  • Content Marketing:

    • บทความ Infographic วิดีโอ: ให้คุณค่า สร้าง Engagement ดึงดูดลูกค้า

  • Email Marketing:

    • ส่ง Newsletter โปรโมชั่น: สร้างความสัมพันธ์ กับลูกค้า

  • Influencer Marketing:

    • จ้าง Influencer รีวิวสินค้า: สร้าง Brand Awareness เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

วิธีจัดสรรงบประมาณ การตลาดออนไลน์:

  1. กำหนดวัตถุประสงค์: ต้องการ Traffic ยอดขาย Brand Awareness

  2. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย: ใช้ออนไลน์ Platform ไหน

  3. ศึกษา Channel: แต่ละช่องทาง มีข้อดี ข้อเสีย ต่างกัน

  4. กำหนดงบประมาณ: เริ่มต้น จากน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่ม

  5. วัดผล วิเคราะห์ ปรับปรุง: ใช้ Tools เช่น Google Analytics

ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ อาจใช้

  • Google Ads: ยิงแอด Keyword “เสื้อผ้าแฟชั่น ราคาถูก”

  • Facebook Ads: ยิงแอด กลุ่มเป้าหมาย ผู้หญิง อายุ 25-35 ปี สนใจแฟชั่น

  • Instagram: ร่วมงานกับ Micro-Influencer รีวิวเสื้อผ้า

การตลาดออนไลน์ คือ การลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย อย่าปล่อยให้ความกลัว ปิดกั้นโอกาสเติบโตของธุรกิจ เริ่มต้น ศึกษา วางแผน และลงมือทำ วันนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสของธุรกิจ!

6. ไม่เคยทำ PR หรือร่วมมือกับ Influencer:

การประชาสัมพันธ์และการร่วมงานกับ Influencer ช่วยเพิ่มการรับรู้ให้แบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว
วิธีแก้: ติดต่อ PR Agency หรือ Influencer ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อโปรโมทแบรนด์

ไม่เคยทำ PR ไม่เคยใช้ Influencer = ปิดประตูใส่ Brand Awareness!

การจะทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก ต้องอาศัยมากกว่าแค่ “สินค้าดี” หรือ “บริการเลิศ” การ ประชาสัมพันธ์ (PR) และการ ร่วมงานกับ Influencer เปรียบเสมือน “กระบอกเสียง” ที่ทรงพลัง ช่วยประกาศให้โลกรู้จักแบรนด์ของคุณได้อย่างรวดเร็ว

ทำไมต้องทำ PR และใช้ Influencer?

  • สร้างความน่าเชื่อถือ: การได้รับการนำเสนอข่าว หรือการรีวิวจาก Influencer สร้างความน่าเชื่อถือ มากกว่าการโฆษณาเอง

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: เลือก Influencer หรือสื่อที่ตรงกับ Target ได้อย่างแม่นยำ

  • เพิ่มยอดขาย: กระตุ้นให้เกิด Brand Awareness นำไปสู่การตัดสินใจซื้อ

  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: PR ช่วยสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ให้กับแบรนด์

PR แบบมืออาชีพ ทำอย่างไร?

  • สร้าง Press Release: ข่าวประชาสัมพันธ์ น่าสนใจ

  • สร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน: ส่ง Press Release เชิญร่วมงาน

  • จัดกิจกรรมสื่อมวลชน: เปิดตัวสินค้า แถลงข่าว

  • CSR: กิจกรรมเพื่อสังคม สร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ร่วมงานกับ Influencer อย่างไรให้ปัง?

  1. เลือก Influencer ให้เหมาะกับแบรนด์:

    • Micro-Influencer: ฐานแฟนน้อย แต่ Engagement สูง เหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น

    • Macro-Influencer: ฐานแฟนเยอะ เข้าถึงคนหมู่มาก เหมาะกับ Brand Awareness

  2. กำหนดวัตถุประสงค์: ต้องการ Traffic ยอดขาย Brand Awareness

  3. ติดต่อ เสนองาน: เสนอ Brief ชัดเจน

  4. วัดผล ประเมิน: ดู Engagement ยอดขาย

ตัวอย่าง:

  • ร้านอาหาร:

    • PR: ส่ง Press Release เชิญ Food Blogger รีวิวร้าน

    • Influencer: จ้าง Food Blogger รีวิวเมนูใหม่

  • แบรนด์เครื่องสำอาง:

    • PR: จัดงานเปิดตัวสินค้า เชิญสื่อมวลชน Beauty Blogger

    • Influencer: ส่งผลิตภัณฑ์ให้ Beauty Blogger รีวิว

อย่ามองข้ามพลังของ PR และ Influencer! การลงทุนกับการสร้าง Brand Awareness ในระยะยาว จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน เริ่มต้นสร้าง “กระบอกเสียง” ให้กับแบรนด์ วันนี้ ก่อนที่คู่แข่งจะดังแซงหน้า!

7. มองข้าม Feedback จากลูกค้า:

ไม่เคยสอบถามความคิดเห็น ไม่นำข้อติชมจากลูกค้ามาปรับปรุง
วิธีแก้: เปิดรับ Feedback จากลูกค้า นำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงสินค้า บริการ และการสื่อสาร

มองข้าม Feedback ลูกค้า = ปิดหูปิดตา สู่เส้นทางล้มเหลว!

การทำธุรกิจ หากปราศจากการรับฟังเสียงของ “ลูกค้า” ก็เปรียบเสมือนการเดินหลงทางโดยไม่มีเข็มทิศ Feedback จากลูกค้า คือ ข้อมูลล้ำค่า ที่ช่วยให้ธุรกิจมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนา

ทำไมต้องใส่ใจ Feedback?

  • เข้าใจความต้องการลูกค้า: สิ่งที่ลูกค้าคิด รู้สึก ต้องการ อาจแตกต่างจากที่เราคิด

  • ปรับปรุงสินค้า/บริการ: แก้ไขจุดบกพร่อง พัฒนาให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น

  • สร้างความพึงพอใจ: แสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เราใส่ใจ

  • รักษาฐานลูกค้าเดิม: ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วม เกิดความภักดีต่อแบรนด์

  • สร้างโอกาสใหม่ๆ: Feedback อาจจุดประกายไอเดีย ธุรกิจใหม่ๆ

วิธีรับ Feedback อย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. เปิดช่องทางรับฟัง:

    • แบบสอบถาม: ออนไลน์ ออฟไลน์

    • กล่องรับความคิดเห็น: หน้าร้าน เว็บไซต์

    • Social Media: เปิดให้คอมเมนต์ รีวิว

    • พูดคุยโดยตรง: โทรศัพท์ อีเมล

  2. ตั้งคำถามที่ชัดเจน:

    • เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น: เช่น “คุณคิดอย่างไรกับ…?” “มีอะไรอยากให้เราปรับปรุงบ้าง”

    • หลีกเลี่ยงคำถามชี้นำ: เช่น “คุณชอบสินค้าของเราใช่ไหม”

  3. ตอบกลับ ขอบคุณ: แสดงให้เห็นว่า เราใส่ใจ

  4. วิเคราะห์ Feedback:

    • แยกแยะ Feedback เชิงบวก และเชิงลบ

    • หา Pattern ปัญหาที่พบบ่อย

  5. นำไปปรับปรุง:

    • สินค้า/บริการ: แก้ไข พัฒนา ให้ดีขึ้น

    • การสื่อสาร: ปรับปรุง ให้เข้าใจง่าย ตรงกลุ่มเป้าหมาย

    • การบริการ: อบรมพนักงาน

ตัวอย่าง:

  • ร้านอาหาร:

    • ปัญหา: อาหารรสชาติจืด พนักงานบริการไม่ดี

    • วิธีแก้ไข: ปรับสูตรอาหาร อบรมพนักงาน

  • ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์:

    • ปัญหา: สินค้าหมดเร็ว ไม่มีไซส์ใหญ่

    • วิธีแก้ไข: สั่งสินค้ามาเติม เพิ่มไซส์

อย่ากลัว Feedback! จงเปิดใจรับฟังเสียงของลูกค้า นำข้อติชม ข้อเสนอแนะ มาปรับปรุง พัฒนา ธุรกิจให้ดีขึ้นอยู่เสมอ รับรองว่า ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างยั่งยืน และครองใจลูกค้าไปอีกนาน

การดำเนินธุรกิจมาเป็นสิบปีโดยที่ยังไม่มีใครรู้จัก อาจบ่งบอกถึงปัญหา Brand Awareness ที่ถูกมองข้าม บทความนี้ได้นำเสนอ 7 เช็คลิสต์สำคัญที่ช่วยวิเคราะห์สาเหตุของปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการขาด Brand Identity ที่ชัดเจน เว็บไซต์ไม่ติดอันดับบน Google คอนเทนต์ไม่น่าสนใจ การละเลยโซเชียลมีเดีย ไม่ลงทุนกับการตลาดออนไลน์ ไม่เคยทำ PR หรือใช้ Influencer และไม่เคยสนใจ Feedback จากลูกค้า

ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกตั้งคำถามว่า “ทำไม” แต่จงเปลี่ยนเป็น “ทำอย่างไร” โดยบทความนี้ได้นำเสนอวิธีแก้ไขอย่างตรงจุด เริ่มตั้งแต่การสร้าง Brand Identity ให้แข็งแกร่ง ทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google สร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพ ปฏิวัติการใช้โซเชียลมีเดีย ลงทุนกับการตลาดออนไลน์ ใช้ PR และ Influencer ให้เป็นประโยชน์ และที่สำคัญ “เปิดใจรับฟังเสียงของลูกค้า”

อย่าปล่อยให้เวลา 10 ปี ผ่านไปอย่างไร้ค่า จงลงมือแก้ไข พัฒนา ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง Brand Awareness ให้แข็งแกร่ง และก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน!

ถึงเวลาของคุณแล้วละ

สนใจของคำปรึกษา ติดต่อ

 

ในยุคที่พฤติกรรม ผู้บริโภค เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การซื้อขายสินค้า และบริการ บนโลกออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติ ธุรกิจ ใดที่ปรับตัวไม่ทัน ย่อมพลาดโอกาสทอง ในการเติบโต และสร้างรายได้ มหาศาล

คำถาม คือ แล้วธุรกิจ ของคุณล่ะ พร้อมแล้วหรือยัง? ที่จะก้าวสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัว และสร้างยอดขาย ให้พุ่งทะยาน 🚀

เพิ่งทำ การตลาดออนไลน์ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อ่านเพิ่มเติม

เว็บไซต์สวย ใช้งานง่าย เสมือนหน้า ร้านออนไลน์ ที่ต้อง “ปัง”

เว็บไซต์ เปรียบเสมือน หน้าร้าน บนโลกออนไลน์ ที่ต้องสร้างความประทับใจแรกพบ ให้กับลูกค้า ดังนั้น การออกแบบ เว็บไซต์ จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ หลายประการ เช่น

  • ดีไซน์สวยงาม ทันสมัย สื่อถึงภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

  • ใช้งานง่าย ทั้งบนคอมพิวเตอร์ และมือถือ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

  • มีระบบหลังบ้าน ที่ใช้งานง่าย สะดวกต่อการอัพเดท ข้อมูล สินค้า ประหยัดเวลา และลดต้นทุน การบริหารจัดการ

  • เน้น ฟังก์ชั่น ที่ตอบโจทย์ ธุรกิจ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า ระบบชำระเงิน ระบบแชทสด เพิ่มความสะดวกสบาย ให้กับลูกค้า และปิดการขาย ได้อย่างรวดเร็ว

SEO อาวุธลับ ดันเว็บไซต์ติดอันดับบน Google

การมี เว็บไซต์ สวยอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องทำให้ลูกค้าเห็น เว็บไซต์ คุณด้วย SEO (Search Engine Optimization) คือคำตอบ!

  • วิเคราะห์คีย์เวิร์ด ศึกษาพฤติกรรมการค้นหาของลูกค้า เพื่อให้เว็บไซต์ ของคุณปรากฏต่อสายตาลูกค้ามากที่สุด

  • ปรับแต่งเว็บไซต์ ให้สอดคล้องกับ คีย์เวิร์ด เพื่อเพิ่มโอกาส ในการคลิก เข้าชมเว็บไซต์

  • สร้าง Backlink คุณภาพ จากเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อเพิ่ม ความน่าเชื่อถือ และ ดันอันดับเว็บไซต์ ให้สูงขึ้น

  • ติดตามผลและวิเคราะห์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ Algorithm ของ Search Engine

    ไม่รู้เรื่อง SEO เลย ต้องอ่าน!

seo-search-engine-optimization-internet-digital-concept

SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ:

  • ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ทำให้ลูกค้าเห็นธุรกิจคุณเป็นอันดับแรกๆ

  • เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

  • สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ทำให้ลูกค้ามั่นใจในสินค้าและบริการของคุณ

  • เพิ่มยอดขายและกำไรอย่างยั่งยืน สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในระยะยาว

อย่าปล่อย ให้ธุรกิจของคุณ “หายไป” ท่ามกลางคู่แข่งนับล้าน

ลงทุนกับ เว็บไซต์ & SEO วันนี้ เพื่ออนาคตทางธุรกิจที่สดใส ในระยะยาว รับประกัน ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า กับการลงทุน

ติดต่อเราวันนี้ รับคำปรึกษาจาก ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการตลาดออนไลน์โดยตรง!

ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาฟรีและดูตัวอย่างผลงานได้ทันที!
m.me/wirewolfstudio
Tel. 061 2623 953
Line : https://lin.ee/9V1S5LZ
facebook.com/wirewolfstudio

รับทำ SEO

SEO หรือการปรับแต่งกลไกค้นหา คือวิธีที่มีต้นทุนต่ำที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณ แต่ SEO คืออะไรกันแน่ และทำงานอย่างไร คุณจะทำให้ SEO มีประโยชน์กับคุณได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในคู่มือนี้

สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เมื่อเราต้องการบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำตอบ แนวคิด ผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ หรือบริการ เราจะเริ่มต้นด้วยการถามเครื่องมือค้นหา Google เพียงแห่งเดียวมีการค้นหา 3,500 ล้าน ครั้งต่อวัน ดังนั้น เครื่องมือค้นหาจึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา และเครื่องมือค้นหายังกลายมาเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาดทางธุรกิจต่างๆ อีกด้วย ในความเป็นจริง การค้นหาแบบออร์แกนิกถือเป็นช่องทางที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุดโดยนักการตลาด 49%

รับทำ seo

การค้นหาแบบออร์แกนิก เป็นเพียงชื่อที่เก๋ไก๋ สำหรับผลลัพธ์ การค้นหาแบบปกติ ที่ไม่ใช่โฆษณา และวิธีที่นักการตลาดใช้การค้นหาแบบออร์แกนิก เป็นช่องทางการตลาด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องมือค้นหาหรือ SEO

แล้วคุณจะใช้พลังของเครื่องมือค้นหา เพื่อขยายธุรกิจของคุณได้อย่างไร ในคู่มือ SEO ฉบับสมบูรณ์นี้ คุณจะเรียนรู้ทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อให้ติดอันดับสูงขึ้นบน Google รับการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และปรับปรุงชื่อเสียงของแบรนด์ของคุณ

SEO ย่อมาจากอะไร

SEO ย่อมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา มาแยกย่อยกัน ในบริบทของเว็บไซต์ของคุณ

การค้นหา: (Search) สิ่งที่ผู้คนทำ เมื่อต้องการค้นหาคำตอบ สำหรับคำถาม หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่ตรงตามความต้องการ
เครื่องมือค้นหา: (Search Engine) เว็บไซต์ (เช่น Google หรือ Bing) ที่ผู้คน สามารถค้นหาได้
การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา: (Search Engine Optimization) สิ่งที่คุณทำเพื่อให้เครื่องมือ ค้นหา เชื่อมโยง การค้นหาดังกล่าวกับเว็บไซต์ของคุณ

รับทำ SEO , SEO ย่อมากจาก

SEO คืออะไร?

คำจำกัดความอย่างเป็นทางการของ SEO:

การเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องมือค้นหา คือ ชุดแนวทางปฏิบัติทางเทคนิค และเนื้อหาที่มุ่งเป้าไปที่การจัดตำแหน่ง หน้าเว็บไซต์ ให้สอดคล้องกับอัลกอริทึม การจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา เพื่อให้สามารถค้นหา ค้นหา จัดทำดัชนี และแสดงบน SERP ได้อย่างง่ายดายสำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

คำจำกัดความที่ง่ายกว่าของ SEO:

SEO คือ การปรับปรุงโครงสร้าง และเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้คนค้นหาสิ่งที่คุณมี ให้ผ่านเครื่องมือค้นหา สามารถค้นพบ หน้าเว็บไซต์ได้

คำจำกัดความที่ง่ายที่สุดของ SEO:

SEO คือ สิ่งที่คุณทำเพื่อ ให้มีอันดับสูงขึ้นใน Google และรับการเข้าชมเว็บไซต์ ของคุณมากขึ้น

Google เป็นเครื่องมือค้นหาเพียงหนึ่งในหลายๆ เครื่องมือค้นหา มี Bing เครื่องมือค้นหาไดเรกทอรี แม้แต่ Instagram ก็เป็นเครื่องมือค้นหาเช่นกัน Google และ Search Engine มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 92% ซึ่งมีความหมายเหมือนกันตามจุดประสงค์ และเจตนาของบทความนี้

รับทำ seo

ประโยชน์และความสำคัญของ SEO

ผู้คนค้นหาสิ่งต่างๆ ทั้งแบบคร่าวๆ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจของคุณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับผู้คนเหล่านี้ ตอบคำถามของพวกเขา แก้ปัญหาของพวกเขา และกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับพวกเขา

  • ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ที่มากขึ้น: เมื่อเว๊บไซต์ของคุณได้รับการปรับให้เหมาะสม สำหรับเครื่องมือค้นหา ก็จะได้รับปริมาณการเข้าชมมากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่า แบรนด์ ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึง…
  • ลูกค้ามากขึ้น: เพื่อให้เว๊บไซต์ ของคุณ ได้รับการปรับให้เหมาะสม เว๊บไซต์ จะต้องกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นคำที่ลูกค้า/ผู้เยี่ยมชม ในอุดมคติของคุณ ค้นหา ซึ่งหมายความว่า คุณจะได้รับปริมาณการเข้าชม ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
  • ชื่อเสียงที่ดีขึ้น: การจัดอันดับที่สูงขึ้นบน Google จะสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับธุรกิจของคุณ ในทันที หาก Google ไว้วางใจคุณ ผู้คน ก็ไว้วางใจคุณ เช่นกัน
  • ROI ที่สูงขึ้น: คุณลงทุนเงินกับเว็บไซต์ของคุณ และในแคมเปญการตลาด ที่นำกลับไปยังหน้าเว็บไซต์ ของคุณ เว็บไซต์ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ ของแคมเปญเหล่านั้น ทำให้การลงทุนของคุณคุ้มค่าดังนั้น ไม่ว่าคุณต้องการการรับรู้แบรนด์ การมองเห็นออนไลน์ ลูกค้าเป้าหมาย ยอดขาย หรือ ลูกค้าที่ภักดีมากขึ้น SEO ก็คือคำตอบ

รับทำ seo

SEO คือโอกาสของคุณ ในการเข้าถึง ลูกค้าเป้าหมาย ในทุกขั้นตอน ของการเดินทางของลูกค้า

ประเภทของ SEO

    • Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ พิจารณาปัจจัยหลายประการเมื่อจัดอันดับเนื้อหา และ SEO ก็มีหลายแง่มุม ประเภทหลักของ SEO สามประเภท ได้แก่ SEO on-page, off-page, และ technical SEO:

 

  • On Page SEO : การเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพ และโครงสร้างของเนื้อหาบนหน้า คุณภาพเนื้อหา คำหลัก และแท็ก HTML ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ On Page SEO
  • Off Page SEO : การทำให้ไซต์อื่นๆ และหน้าอื่นๆ บนเว๊บไซต์ ของคุณ link ไปยังหน้าที่คุณพยายามเพิ่มประสิทธิภาพ backlink ลิงก์ภายใน และเพิ่มชื่อเสียงคือ MVP ของ Off Page SEO
  • Technical SEO : การปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยรวมของเว๊บไซต์ ของคุณบนเครื่องมือค้นหา ความปลอดภัยของเว๊บไซต์ (ใบรับรอง SSL) UX และโครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญที่นี่SEO สามประเภทข้างต้นใช้สำหรับเว็บไซต์ และบล็อก แต่ยังนำไปใช้กับ SEO สามประเภทย่อยได้ด้วย:
  • Local SEO : ทำให้ธุรกิจของคุณติดอันดับสูงสุด เท่าที่จะเป็นไปได้ใน Google Maps และในผลการค้นหา ในพื้นที่ของ SERP รีวิว รายชื่อ และการเพิ่มประสิทธิภาพ โปรไฟล์ธุรกิจ Google มีความสำคัญที่สุดที่นี่
  • Image SEO : การผสมผสานระหว่างกลยุทธ์ SEO on-page, off-page, และ technical SEO เพื่อให้รูปภาพบนเพจเว็บไซต์ของคุณ ติดอันดับในการค้นหารูปภาพของ Google
  • Video SEO : การผสมผสานระหว่างกลยุทธ์บนเพจ กลยุทธ์ทางเทคนิค และกลยุทธ์นอกเพจเพื่อให้วิดีโอของคุณติดอันดับในผลการค้นหาวิดีโอของ YouTube หรือ Googleแม้ว่าทั้งสามประเภทย่อยจะต้องใช้ SEO หลักทั้งสามประเภท แต่ก็มีความแตกต่างกันในแง่ของการพึ่งพา SEO ตามหลักเกณฑ์ของแต่ละประเภท

 

รับทำ SEO , ประเภท ของ SEO

การทำ Image SEO นั้นต้องอาศัยการเพิ่มประสิทธิภาพ ในด้านเทคนิค และ On page SEO ในขณะที่ Local SEO นั้น จะเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพทั้งนอกหน้า และภายในหน้าเป็นหลัก

 

SEO ทำงานอย่างไร?

Google พิจารณาว่าหน้าใดที่จะแสดงในหน้าผลการค้นหา (SERP) สำหรับคำค้นหาที่กำหนดได้อย่างไร การแปลงนี้จะกลายเป็นปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไร? มาดูกันว่า SEO ทำงานอย่างไร

  • โปรแกรมค้นหาของ Google สแกนเว็บอย่างต่อเนื่อง รวบรวม จัดหมวดหมู่ และจัดเก็บหน้าเว็บนับพันล้านหน้าในดัชนี เมื่อคุณค้นหาบางสิ่งและ Google ดึงผลลัพธ์ขึ้นมา Google จะดึงข้อมูลจากดัชนี ไม่ใช่จากเว็บนั้นเอง
  • Google ใช้สูตรที่ซับซ้อน (เรียกว่าอัลกอริทึม) เพื่อจัดลำดับผลลัพธ์ตามเกณฑ์ต่างๆ (ปัจจัยการจัดอันดับ ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป) รวมถึงคุณภาพของเนื้อหา ความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา เว็บไซต์ (โดเมน) ที่เนื้อหานั้นเป็นสมาชิก และอื่นๆ
  • จากนั้น วิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับผลลัพธ์จะบ่งบอกให้ Google ทราบว่าแต่ละหน้าตอบสนอง (หรือไม่) อย่างไร ซึ่งจะถูกนำมาพิจารณาในอัลกอริทึมด้วย

รับทำ seo

กล่าวอีกนัยหนึ่ง SEO ทำงานเหมือนระบบข้อเสนอแนะที่ซับซ้อน เพื่อแสดงผลลัพธ์ที่แม่นยำ น่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องที่สุดสำหรับการค้นหาใดๆ โดยใช้ข้อมูลจากคุณ Google และผู้ค้นหา บทบาทของคุณคือผลิตเนื้อหาที่ตอบสนองข้อกำหนดด้านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ อำนาจ และความน่าเชื่อถือของ Google (E-E-A-T) ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ค้นหา

ปัจจัยการจัดอันดับ SEO บน Google

ข้อกำหนดเหล่านั้นคืออะไรกันแน่? อะไร คือ เนื้อหาที่มีคุณภาพ ตรงเป้าหมาย เป็นมิตรกับ EAT และปรับให้เหมาะกับ SEO? มีปัจจัยการจัดอันดับของ Google หลายร้อยประการ และ Google เองก็พัฒนา และปรับปรุงอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ แต่มี 12 ประการที่ควรให้ความสำคัญ เป็นอันดับแรก

ตาม FirstPageSage ปัจจัยการจัดอันดับของ Google ที่สำคัญที่สุดและมีน้ำหนักอย่างไร:

  1. Consistent publication of high-quality content | การเผยแพร่เนื้อหาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ (26%)
  2. Keywords in meta title | คำหลักในเมตาไตเติล (17%)
  3. Backlinks | แบ็คลิงก์ (15%)
  4. Niche expertise | ความเชี่ยวชาญเฉพาะกลุ่ม (13%)
  5. User engagement | การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (11%)
  6. Internal links | ลิงก์ภายใน (5%)
  7. Mobile-friendly/mobile-first | เป็นมิตรกับมือถือ/เป็นอันดับแรก (5%)
  8. Page speed | ความเร็วของหน้า (2%)
  9. Site security/SSL certificate | ความปลอดภัยของไซต์/ใบรับรอง SSL (2%)
  10. Schema markup/structured data | การมาร์กอัปโครงร่าง/ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (1%)
  11. Keywords in URL | คำหลักใน URL (1%)
  12. Keywords in H1 | คำหลักใน H1 (1%)

แต่ต้องไม่เข้าใจผิดเกี่ยวกับปัจจัยที่อยู่ด้านล่างของรายการนี้ ดังที่คุณจะเห็นในแผนภูมิด้านล่าง ปัจจัย “อื่นๆ” เช่น การกล่าวถึงโดยไม่เชื่อมโยง สัญญาณโซเชียล ประวัติโดเมน ลิงก์ขาออก และโครงสร้างไซต์ มีน้ำหนัก 1% แต่เมื่อพิจารณาว่ามีปัจจัยการจัดอันดับของ Google อย่างน้อย 200 ปัจจัย นั่นเท่ากับว่ามีปัจจัย “อื่นๆ” อย่างน้อย 189 ปัจจัยที่รวมกันเป็น 1% กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัจจัยที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น คำหลักใน URL ที่ประกอบเป็น 1% นั้นด้วยตัวเองนั้นไม่เล็กน้อยเลย

รับทำ SEO

 

วิธีทำ SEO : การเพิ่มประสิทธิภาพ On Page SEO

ตอนนี้ถึงเวลาพูดถึงวิธีทำ SEO จริง ๆ แล้ว—วิธีเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ สำหรับปัจจัยเหล่านี้ เพื่อให้คุณติดอันดับสูง ขึ้นใน Google และรับการเข้าชมมากขึ้น ซึ่งต้องใช้การผสมผสานระหว่าง การเพิ่มประสิทธิภาพ On Page, Off Page และการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค ดังนั้นเราจะจัดขั้นตอนต่าง ๆ ในลักษณะนั้น ต่อไปนี้ คือ ขั้นตอนการเพิ่มประสิทธิภาพ บนหน้าของคุณ:

  • เริ่มต้นด้วยการค้นหาคำหลัก (keyword)
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพโดยกำหนดเป้าหมายที่คำหลักเหล่านั้น
  • วางคำหลักของคุณ
  • เพิ่มประสิทธิภาพชื่อเรื่องของคุณ (titles)
  • เพิ่มประสิทธิภาพคำอธิบายเมตาของคุณ (meta descriptions)
  • รวมและเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ (optimize images)
  • ลิงก์ภายในและภายนอก (Internal and external links)

1. เริ่มต้นด้วยการค้นหาคำหลัก SEO

ขั้นตอนแรกในการเพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องมือค้นหา คือ การกำหนดว่าคุณกำลังเพิ่มประสิทธิภาพ คำหลักใด คำหลัก เหล่านี้ คือ คำที่ผู้เยี่ยมชม เว็บไซต์ ในอุดมคติของคุณมีแนวโน้มที่จะพิมพ์ลงใน Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ และแต่ละหน้าในเว๊บไซต์ของคุณควรกำหนดเป้าหมาย ที่กลุ่มคำหลักที่แตกต่างกัน เพื่อไม่ให้แข่งขันกันเอง

วิธีทำการวิจัยคีย์เวิร์ดสำหรับ SEO

นี่คือขั้นตอนพื้นฐาน ในการ ค้นหา คีย์เวิร์ด ที่ดีที่สุดที่ จะกำหนดเป้าหมาย ด้วยเนื้อหาออร์แกนิกของคุณ:

  • สร้างรายการเริ่มต้น: เริ่มต้นด้วยการระบุคำและวลีที่ลูกค้าในอุดมคติของคุณพิมพ์ลงใน Google พิจารณาความสนใจ ความต้องการ ปัญหา และเป้าหมายของพวกเขา และคิดในแง่ของภาษาที่พวกเขาใช้ ซึ่งอาจแตกต่างจากสิ่งที่คุณ (ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ) ใช้
  • ใส่ข้อมูลเหล่านี้ลงในเครื่องมือ วิจัย คีย์เวิร์ด: เครื่องมือ วิจัย คีย์เวิร์ด จะให้ข้อมูลแก่คุณ เกี่ยวกับ คีย์เวิร์ด เหล่านี้ เพื่อให้คุณเห็นว่าคุณสามารถ จัดอันดับ สำหรับคำใดได้บ้าง และโอกาสที่ดีที่สุด อยู่ที่ใด ตัวชี้วัด ได้แก่:
  • ปริมาณการค้นหา: จำนวนครั้ง ที่ค้นหา คำนั้น ต่อเดือน
  • การแข่งขัน: การจัดอันดับ สำหรับ คีย์เวิร์ด นั้น ยากเพียงใดรับทำ SEO, Keyword Tool

    ลองใช้เครื่องมือคีย์เวิร์ดฟรี ของ WordStream

  • จัดเรียงและจัดลำดับความสำคัญ: ใส่เงื่อนไข และข้อมูลที่ได้ ลงใน spreadsheet ตอนนี้ คุณสามารถจัดกลุ่ม เป็นธีมหลัก และจัดลำดับความสำคัญ ของเงื่อนไขเหล่านี้ ได้แล้ว โดยหลักการแล้ว คุณจะต้องกำหนดเป้าหมาย คีย์เวิร์ด ที่มีปริมาณ การค้นหาสูง เพียงพอที่จะทำให้คุณ เข้าถึงได้อย่างเหมาะสม แต่ไม่มากเกินไป จนทำให้ คีย์เวิร์ด มีการแข่งขันสูง จนไม่สามารถติดอันดับได้ ควรแสดงบนหน้าแรก สำหรับ คีย์เวิร์ด ที่มีปริมาณการค้นหาต่ำ และมีการแข่งขันต่ำ ดีกว่าที่จะไม่ติดอันดับเลย สำหรับ คีย์เวิร์ด ที่มีปริมาณการค้นหาสูง และมีการแข่งขันสูง

2. สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยกำหนด เป้าหมาย ไปที่ คีย์เวิร์ด เหล่านั้น

หน้าการนำทางหลักของคุณ (หน้าแรก, เกี่ยวกับเรา, ติดต่อ, ผลิตภัณฑ์, บริการ) จะกำหนดเป้าหมายไปที่ คีย์เวิร์ด แต่การกำหนดเป้าหมาย คีย์เวิร์ด ส่วนใหญ่จะมาจากเนื้อหาแบบยาว ในรูปแบบของโพสต์บล็อก เนื้อหา SEO ที่มีคุณภาพนั้น:

  • สอดคล้องกับเจตนาของคีย์เวิร์ด: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณให้ข้อมูลที่ผู้คนกำลังค้นหาเมื่อค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ นี่คือเหตุผลที่คุณควรค้นหาคีย์เวิร์ดบน Google ก่อนเสมอ
  • มอบประสบการณ์ที่ดี: ไม่มีป๊อปอัปหรือ CTA ที่ก้าวร้าวเกินไป หรือองค์ประกอบที่รบกวนอื่นๆ ใช้รูปภาพเพื่อแสดงแนวคิด และโหลดได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องบนอุปกรณ์ทั้งหมด (จะอธิบายเพิ่มเติมในส่วน SEO ทางเทคนิคในภายหลัง)
  • อ่านได้อย่างเป็นธรรมชาติ: อย่า ใส่คีย์เวิร์ด มากเกินไป เขียนเหมือนมนุษย์ที่พูดกับผู้ชมของคุณ ไม่ใช่ผู้เขียนเนื้อหาที่พยายามปรับให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหา
  • เจาะลึก: Google ไม่สนใจหน้าเว็บที่บาง ซ้ำซ้อน หรือมีมูลค่าต่ำ ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และทันสมัย มีจำนวน 1,500-2,500 คำโดยประมาณ
  • จัดระเบียบ: ใช้แท็กหัวข้อ เพื่อระบุลำดับชั้น ของข้อมูลในหน้า
    รับทำ SEO

การตลาดออนไลน์ ควรเริ่มต้นจากตรงไหน : แนวทางและขั้นตอนที่ควรรู้

3. วางคำหลักของคุณ

นอกจากจะวางไว้ในเนื้อหาของคุณแล้ว คุณควรวาง คำหลัก ของคุณไว้ในจุดเฉพาะบนหน้าเพื่อระบุให้ Google ทราบว่าคุณต้องการอันดับอะไร ซึ่งรวมถึง:

    • หัวเรื่อง SEO (แท็กหัวเรื่อง)
    • หัวเรื่องหน้า (แท็ก H1)
    • หัวเรื่อง H2 อย่างน้อย 2 หัวเรื่อง
    • ข้อความ alt ของรูปภาพ
    • ชื่อไฟล์รูปภาพ
    • อยู่ในเนื้อหาของคุณโดยธรรมชาติ
    • URL
    • คำอธิบายเมตา (Meta description)

รับทำ SEO

4. ปรับแต่งชื่อเรื่องของคุณ

สำหรับหน้าใดๆ บนเว็บไซต์ของคุณ จริงๆ แล้วคุณมีชื่อเรื่อง สองเรื่อง แท็กชื่อเรื่อง คือ ชื่อเรื่องที่ปรากฏบน SERP และเป็นตำแหน่งเดียวที่มีผลกระทบมากที่สุด ที่คุณสามารถใส่คำหลักของคุณได้ แท็ก H1 คือ ชื่อเรื่องที่ปรากฏบนหน้า เมื่อคุณคลิกเข้าไป ชื่อเรื่องจะเหมือนกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหน้านั้นๆ

เพื่อปรับแต่งชื่อเรื่องของคุณ อย่าลืม:

  • ใส่คำหลัก: หากคุณสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าสนใจ ให้เพิ่มตัวปรับแต่งที่เกี่ยวข้องกับคำนั้นด้วย
  • มี H1 เพียงอันเดียวต่อหน้า: นี่ควรเป็นหัวข้อหลักของคุณ และควรใช้ H2 เพื่อระบุหัวข้อหลักของคุณ
  • จำกัดแท็กชื่อเรื่องให้มีความยาว 55-60 อักขระ: จำนวนที่ Google จะแสดงนั้นแตกต่างกันไป (ขึ้นอยู่กับพิกเซล ไม่ใช่จำนวนอักขระ) ดังนั้นให้ใส่คำหลักไว้ด้านหน้า
  • ระบุค่า: ผู้ใช้จะได้รับอะไรจากหน้าเพจนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการคลิกบน หน้าเพจ ใน SERP หรือบนเว๊บไซต์ของคุณ และส่งผลต่อการอ่านต่อไป

รับทำ seo

5. ปรับแต่งคำอธิบายเมตาของคุณ

คำอธิบายเมตา (meta description) คือ คำอธิบายที่ปรากฏบน SERP ด้านล่าง (title tag) แท็กชื่อเรื่อง Google ไม่ได้แสดงคำอธิบาย ที่คุณให้ไว้ใน SERP เสมอไป Google ชอบสร้างคำอธิบายของตัวเองตามคำค้นหา แต่การปรับแต่งเพื่อ SEO ยังคงมีความสำคัญ Google อ่านคำอธิบายนี้ เมื่อรวบรวม ข้อมูล หน้าเว็บ เพื่อทำความเข้าใจว่า เนื้อหา เกี่ยวกับอะไร

การปรับแต่งคำอธิบายเมตาของคุณ:

  • ใส่คำหลักและคำหลัก ที่เกี่ยวข้อง หากคุณสามารถทำได้ในลักษณะ ที่เป็นธรรมชาติ และน่าสนใจ
  • ให้สั้น: ความยาว คำอธิบายเมตา (meta description) ที่เหมาะสมคือ 155-165 อักขระ
  • ทำให้น่าสนใจ: โปรดจำไว้ว่าการแสดงในผลการค้นหา เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น! คุณยังต้องทำให้ ผู้ค้นหา คลิก ใส่คำอธิบายที่กระชับ ประโยชน์ที่ชัดเจน และคำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น สำเนาโฆษณา!นี่คือตัวอย่าง คำอธิบายเมตา (meta description) ในโลกแห่งความเป็นจริง ในผลการค้นหา:รับทำ SE) , meta description

    Meta descriptions = SEO “ad copy”

6. รวมและปรับแต่งรูปภาพ

รูปภาพ เป็นปัจจัยสำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO รูปภาพ ทำให้ผู้ใช้ มีส่วนร่วม กับหน้าเว็บของคุณ เพิ่มคุณภาพของ ข้อมูล และเปิดโอกาสให้คุณจัดอันดับ และสร้างการเข้าชม ไปยังหน้าโฮสต์ของพวกเขา ผ่านผลการค้นหารูปภาพ นอกจากนี้ Google ยังทำให้ SERP เป็นแบบภาพมากขึ้นเรื่อยๆวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ SEO สำหรับรูปภาพมีดังนี้:

  • ชื่อไฟล์: บันทึกชื่อไฟล์พร้อมคำหลัก (keyword) โดยใช้เส้นประแทนช่องว่าง
  • เพิ่มข้อความ alt: ข้อความ alt หมายถึงข้อความทางเลือก ของรูปภาพ และเป็นวิธีที่ Google “มองเห็น” รูปภาพบนหน้าเว็บ และตรวจจับความเกี่ยวข้องกับ คำหลัก (keyword) นอกจากนี้ยังทำให้โปรแกรม อ่านหน้าจอ เข้าถึง เว๊บไซต์ ของคุณได้ และหากรูปภาพ เสียหาย ข้อความ alt จะยังคงปรากฏอยู่ อย่าใส่คำหลัก มากเกินไป ลองนึกภาพว่า คุณกำลังอธิบายรูปภาพให้คนที่มองไม่เห็นดู—นั่นคือจุดประสงค์ของรูปภาพ!
  • บีบอัด: รูปภาพขนาดใหญ่ส ามารถทำให้เว๊บไซต์ของคุณทำงานช้าลงได้ บีบอัด เพื่อลดขนาดไฟล์ และปรับขนาดให้เหมาะสม คุณไม่ควรต้องการรูปภาพที่มีความกว้างมากกว่า 1,000 พิกเซลมากนัก ซึ่งแต่ละเว็บไซต์ก็แตกต่างกัน

7. ลิงก์ภายในและภายนอก (Internal and external links)

เมื่อทำ SEO สำหรับ Blog (บทความ) คุณจะต้องเพิ่มลิงก์ทั้งภายในและภายนอก (Internal and external links)

  • ลิงก์ภายนอก: ค้นหา 1-3 หน้า ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ ที่คุณ ต้องการ กำหนดเป้าหมาย ในเว๊บไซต์อื่นที่มีอำนาจโดเมนสูง high domain authority แล้วลิงก์ไปยังหน้าเหล่านั้น ในโพสต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจกับ Google
  • ลิงก์ภายใน: ลิงก์ ไปยังโพสต์บล็อกอื่นๆ ในเว๊บไซต์ของคุณ ในเนื้อหาของโพสต์ ที่คุณกำลังเขียน เช่นเดียวกับที่ผมทำในหัวข้อสุดท้าย โดยใช้ “อำนาจโดเมนสูง” high domain authority เป็นข้อความยึด (anchor text) ของผม วิธีนี้ทำให้ Google มีเส้นทางหลายเส้นทางไปยังโพสต์ที่กำหนด ทำให้เว๊บไซต์ของคุณ ค้นหา ได้ง่ายขึ้นโดยรวม จำนวนลิงก์ ที่จะใส่ไว้ที่นี่ ขึ้นอยู่กับความยาวของโพสต์ และปริมาณเนื้อหาอื่นๆ ที่คุณมีให้ลิงก์ไป ให้ลิงก์มีความเกี่ยวข้อง กับหน้า และข้อความยึด (anchor text) ที่คุณใช้

วิธีทำ SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพ Off-page

ขั้นตอนทั้งหมดข้างต้น เป็นกลยุทธ์ SEO On-Page ในทางกลับกัน SEO Off-Page คือ สิ่งที่คุณทำในหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์อื่นๆ และแม้แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อช่วยให้หน้าเว๊บไซด์ของคุณติดอันดับ นี่คือกลยุทธ์ SEO Off-Page บางส่วน

8. รับ และ เข้าถึง แบ็คลิงก์ Earn & reach backlinks

แบ็คลิงก์ (backlink) หรือ ลิงก์ไปยัง เว๊บไซต์ ของคุณ จากเว็บไซต์อื่น เป็นปัจจัย อันดับ ของ Google ที่สำคัญที่สุด เป็นอันดับสาม แบ็คลิงก์จากเว๊บไซต์ ที่มีความน่าเชื่อถือสูงนั้น แน่นอนว่า มีค่ามากกว่าแบ็คลิงก์ จากเว๊บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ยิ่งคุณมีแบ็คลิงก์ คุณภาพสูงมากเท่าไร อันดับของคุณก็จะสูงขึ้นเท่านั้น

 

 

รับทำ SEO, backlink

หน้าอันดับสูงจะมีแบ็คลิงก์มากกว่าหน้าอันดับต่ำ (เมื่อไม่รวม URL ที่มีแบ็คลิงก์ )

แล้วคุณจะรับ แบ็คลิงก์ (backlink) เพิ่มเติมได้อย่างไร?
มีกลยุทธ์อยู่หลายอย่าง แต่บางส่วนได้แก่:

  • การผลิตเนื้อหา ต้นฉบับ ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งสมควร ได้รับแบ็คลิงก์
  • การติดต่อ เว๊บไซต์ต่างๆ อย่างจริงจัง ซึ่งลิงก์ ไปยังเนื้อหาของคุณ อาจเป็นประโยชน์กับเว๊บไซด์เค้า
  • การโพสต์หรือเขียนบทความในฐานะแขกรับเชิญ
  • การรายงานข่าวประชาสัมพันธ์ (PR) หรือการซื้อ PR ให้เค้า link มาเว๊ปไซด์ของเรา

9. แชร์เนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดีย

นอกจากการลิงก์ไปยัง โฮมเพจ ของคุณใน โปรไฟล์ โซเชียลมีเดียแล้ว คุณควรแชร์โพสต์บล็อก หรือบทความ ของคุณกับฟีดเป็นประจำด้วย การทำเช่นนี้ จะทำให้คุณได้รับการเข้าชม จากการอ้างอิง และยิ่งมีคนเห็นโพสต์มากเท่าไร โอกาสในการสร้างลิงก์ย้อนกลับ (backlink) ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น โซเชียลมีเดียเอง ไม่ได้ เป็นปัจจัยการจัดอันดับของ Google โดยตรง แต่กิจกรรม ของคุณ บนแพลตฟอร์มและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ กับเนื้อหาของคุณ บนแพลตฟอร์มนั้นจะส่งสัญญาณโซเชียลไปยัง Google ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับของคุณ

10. สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ของคุณ

เมื่อพิจารณาว่า จะจัด อันดับหน้าใด หน้าหนึ่ง ในเว๊บไซต์ ของคุณสูงเพียงใด Google จะไม่ดูแค่หน้าเดียวเท่านั้น แต่จะพิจารณาแบรนด์ของคุณ โดยรวมด้วย โดยดูจากข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับ แบรนด์ ทั่วทั้งเว็บ รวมถึงบทวิจารณ์ คะแนน รายการ รางวัล และแม้แต่การกล่าวถึงแบรนด์ โดยไม่ลิงก์ ดังนั้น การสร้างชื่อเสียงให้กับ แบรนด์ ของคุณโดยเพิ่มประสิทธิภาพรายการของคุณ รับการตอบรับเชิงบวก และขอให้รีวิว จึงมีความสำคัญต่อ SEO ส่วนมาก จะอยู่ในกลุ่มของ Local SEO  แต่ก็มีกลยุทธ์ สร้างแบรนด์ มากมาย ที่สามารถนำไปใช้ได้ กับธุรกิจ ที่ไม่ใช่ธุรกิจ แบบดั้งเดิม ด้วยเช่นกัน

วิธีทำ SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค

การเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ทางเทคนิค จะดำเนินการที่ส่วนหลัง ของเว็บไซต์ ของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนด ด้านความปลอดภัย ของเว๊บไซต์ และประสบการณ์ ของผู้ใช้ของ Google รวมถึงเพื่อให้ Google ทำงาน ในไซต์ของคุณ ได้ง่ายที่สุด ต่อไปนี้ คือ การปรับปรุง ทางเทคนิค หลักบางส่วนที่ต้องดูแล:

ความเร็วของหน้า (Page speed) : นอกเหนือจากขนาดรูปภาพแล้ว โค้ดเบื้องหลังเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณและลำดับการโหลดอาจส่งผลต่อความเร็วของหน้าได้ ซึ่งการโหลดแบบขี้เกียจและการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของหน้าจะเข้ามามีบทบาท

รับทำ seo, speed website page
ความปลอดภัย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไซต์ของคุณใช้ HTTPS แทน HTTP

เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นหลัก: การเป็นมิตร กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ไม่ได้ผล อีกต่อไป การสร้างดัชนี ของ Google เน้นอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นหลัก ดังนั้นไซต์ของคุณ จึงต้องตอบสนอง ได้อย่างเต็มที่กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ ต่างๆ เช่น มือถือ , ipad , iphone , Andriod, เป็นต้น

Core Web Vitals: มีการใช้ตัวชี้วัด ทั้งสามนี้ เพื่อวัดประสบการณ์ ของผู้ใช้กับเพจ ของคุณ คุณสามารถเรียนรู้ วิธีปรับปรุง Core Web Vitals  ได้ที่นี่

โครงสร้าง URL: โครงสร้างเว๊บไซต์ ที่เป็นระเบียบ เช่น การใช้ /blog, /landing page, /product buckets จะทำให้ Google รวบรวมข้อมูลเว๊บไซต์ของคุณ ได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ นำทาง ในเว๊บไซต์ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้คุณ แบ่งกลุ่ม ข้อมูลในรายงานได้ง่ายขึ้น

สถาปัตยกรรมเว๊บไซต์: โดยปกติแล้ว ผู้ใช้ควรสามารถเข้าถึงหน้าใดๆ ในไซต์ของคุณ ได้ด้วยการคลิก สามครั้ง หรือ น้อยกว่านั้น การลิงก์ภายใน ถือเป็นหัวใจสำคัญ

รับทำ seo internal linking

ผู้ใช้ควรสามารถเข้าถึงหน้าใดๆ เว๊บไซต์ ได้ด้วยการคลิก สามครั้ง หรือ น้อยกว่านั้น

URL เชิงมาตรฐาน (Canonical URLs) : URL เชิงมาตรฐาน คือ URL ที่คุณต้องการ ให้แสดงชุด ของหน้าที่ซ้ำกัน Google จะพยายาม อย่างเต็มที่ เพื่อระบุ URL เชิงมาตรฐาน สำหรับ ชุดหน้า ที่ซ้ำกัน แต่คุณยังสามารถระบุสิ่งนี้ให้ Google ทราบได้โดยใช้ แท็กเชิงมาตรฐาน หรือ การรีไดเร็กต์ 301 ตัวอย่างเช่น เรามี:
http://wirewolstudio.com
http://wirewolstudio.com/
https://www.wirewolstudio.com
https://www.wirewolstudio.com/
https://www.wirewolstudio.com/

ทั้งหมดรีไดเร็กต์ไปยัง URL เชิงมาตรฐานนี้: https://www.wirewolstudio.com

ความสามารถในการรวบรวมข้อมูล/ความสามารถในการจัดทำดัชนี (Crawlability/indexability): แผนผังไซต์และ robots.txt ของคุณร่วมกันแจ้งให้ Google ทราบว่าคุณต้องการและไม่ต้องการให้ Google รวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีอะไร

มาร์กอัปโครงร่าง (Schema markup): มาร์กอัปโครงร่าง ช่วยให้ Google (และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ) เข้าใจประเภทของเนื้อหาที่คุณมี ทำให้สามารถแสดงผลลัพธ์ ที่หลากหลายได้เมื่อจำเป็น ตัวอย่าง เช่น โครงร่างลิงก์เว๊บไซต์สามารถให้พื้น ที่เพิ่มเติมแก่คุณใน SERP:

รับทำ seo what is schema markup sitelink

โครงร่างการตรวจสอบ (review schema) สามารถทำให้เว๊บไซด์ของเราปรากฏชัดและน่าสนใจยิ่งขึ้น:

รับทำ seo how to get more website traffic review schema

 

มีรูปแบบโครงร่างมากมาย ที่ใช้ได้ กับธุรกิจ ประเภทต่างๆ คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ โครงร่าง และมาร์กอัป ได้ใน คู่มือโครงร่างสำหรับ SEO ของเรา

เครื่องมือ SEO

คุณไม่สามารถดำเนินการ เพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องมือ ค้นหา อย่างมีประสิทธิผลได้ หากไม่มีข้อมูล และในการรับข้อมูล คุณต้องใช้เครื่องมือ โชคดีที่เครื่องมือเหล่านี้ ส่วนใหญ่ฟรี เครื่องมือ SEO ที่ดีที่สุดสำหรับกลยุทธ์ SEO ที่เหมาะสม ได้แก่:

Google Analytics:
นี่คือมาตรฐานทองคำ สำหรับการวิเคราะห์ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ และฟรี ใช้สำหรับเมตริก SEO ทั้งหมดเพื่อวัดประสิทธิภาพของคุณ เช่น ปริมาณการเข้าชม เวลาบนเพจ การมีส่วนร่วมกับเพจ จำนวนเพจต่อเซสชัน และอื่นๆ อีกมากมาย

Google Search Console:
GSC เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO ที่เน้นเนื้อหา และเชิงเทคนิค แม้ว่าข้อมูล Search Console บางส่วนจะปรากฏใน Google Analytics แต่คุณจะได้รับข้อมูลมากมายในแพลตฟอร์มนี้ ใช้สำหรับ Core Web Vitals การวิเคราะห์แบบสอบถามแบบละเอียด การจัดทำดัชนี และอื่นๆ

เครื่องมือวิจัยคำหลัก (Keyword research tools): ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น คุณจะต้องมีเครื่องมือเหล่านี้ เพื่อค้นหา คำหลัก (keyword) ที่เหมาะสมกับคุณ ในแง่ของปริมาณ การค้นหา และการแข่งขัน ใช้การสรุป เครื่องมือ วิจัย คำหลัก ที่ดีที่สุด ทั้งแบบเสียเงินและฟรี เพื่อค้นหา เครื่องมือ ที่เหมาะกับคุณ

ซอฟต์แวร์ SEO: หากคุณต้องการดูเมตริก SEO ที่เจาะลึกกว่า เช่น แบ็คลิงก์ ข้อมูลคู่แข่ง และข้อมูลคีย์เวิร์ดขั้นสูง คุณจะต้องใช้เครื่องมือ SEO แบบชำระเงิน เช่น Ahrefs, Moz Pro, Screaming Frog, SEMrush เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ บางเครื่องมือ มีรุ่นทดลองใช้งานฟรี หรือ บริการฟรี สำหรับ ลิงก์ 500 ลิงก์แรก (หรือประมาณนั้น)

เครื่องมือประเมินผลเว็บไซต์ (Website graders): แม้ว่าเครื่องมือ ที่กล่าวถึงข้างต้นมักจะซับซ้อน และต้องการให้คุณรู้วิธี ทำความเข้าใจ ข้อมูล แต่เครื่องมือประเมินผลเว็บไซต์ สามารถทำให้ SEO ง่ายขึ้น สำหรับคุณ และให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้

รับทำ SEO
การตรวจสอบ SEO ทันทีด้วย Website Grader ฟรี

 

กลยุทธ์ SEO และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด

มาปิดท้ายด้วยกลยุทธ์ SEO แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

  • ค้นหาคำหลักเสมอ (keyword): สิ่งที่คุณคิดว่า ผู้ใช้กำลังมองหา เมื่อทำการค้นหาใน Google อาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาจริงๆ เจตนาของ คำหลัก มีความสำคัญ ดังนั้น ให้ค้นหา คำหลัก ที่คุณพยายามกำหนด เป้าหมาย อยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับเจตนาของคุณ
  • อดทน: SEO ต้องใช้เวลา ใช้เวลานานทีเดียว อาจใช้เวลาสองสามเดือน ก่อนที่คุณจะเริ่มเห็นผลจาก ความพยายามของคุณ แต่เมื่อคุณเริ่มเห็นผลแล้ว ประโยชน์จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นอย่ายอมแพ้ก่อนเวลาอันควร!
  • เน้นที่คุณภาพ: Google อัปเดตอัลกอริทึม และเปิดตัวฟีเจอร์ SERP ใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ท้ายที่สุดแล้ว อัลกอริทึมทั้งหมด ได้รับการออกแบบ มาเพื่อแสดงเนื้อหาที่ดีที่สุด ดังนั้น คุณควรเน้นที่การสร้างเนื้อหา ที่มีประโยชน์ และเชื่อถือได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือกลยุทธ์ SEO ที่ดีที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
  • รักษาเนื้อหาของคุณ: ในขณะที่การเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ เป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ของการจัดอันดับของ Google แต่ไม่ควรละเลย ที่จะปล่อยให้เนื้อหาเก่าๆ ซ้ำซาก รีเฟรชหน้าเว็บ ที่ไม่ตกยุค ทำเป็นประจำเพื่อรักษามูลค่า SEO และให้ปริมาณการเข้าชมเติบโตอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาหนึ่ง
  • ติดตามและวัดผล: รายงานปริมาณ การเข้าชม และข้อมูลเว๊บไซต์ของคุณ เป็นประจำ เพื่อให้คุณเห็นว่า หัวข้อใดที่ผู้ชมของคุณสนใจมากที่สุด ตรวจจับปัญหา และตั้งเป้าหมายสำหรับการเติบโตของปริมาณการเข้าชม

รับคำปรึกษาฟรีเกี่ยวกับการทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณและดึงดูดผู้เยี่ยมชมมากขึ้น!

  • ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ SEO
  • การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
  • การสร้างเนื้อหาคุณภาพที่มีคุณค่าสำหรับผู้เยี่ยมชมและเครื่องมือค้นหา
  • การเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงภายในและภายนอก
  • การปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์

**สนใจรับคำปรึกษาฟรี?** ติดต่อ เราวันนี้ เพื่อเริ่มต้นปรับปรุง SEO ให้เว็บไซต์ของคุณ และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่!

อ้างอิง : wordstream

how-to-add-facebook-page-admin-updated-on-july-2024เมื่อระบบเฟสบุ๊คปรับใหม่ หลายคนอาจจะเจอปัญหาในการเพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์ไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ยังคุ้นเคยกับการเพิ่มผู้ดูแลในแบบเดิมหรือแบบเพจคลาสสิค ซึ่งปัจจุบันทางเฟสบุ๊คได้อัปเดตเพจทั้งหมดให้เป็นแบบใหม่แล้ว ถ้าคุณกำลังประสบปัญหาไม่สามารถเพิ่มผู้ดูแลเพจได้ ผมจะพาทุกคนมาเรียนรู้วิธีการใหม่ๆ ที่ไม่ยุ่งยาก เพียงทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

วิธีเพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์อัพเดทล่าสุด 2024

1. สลับโปรไฟล์จากบัญชีเฟสบุ๊คเป็นเพจโปรไฟล์ตามรูปข้างล่างนะครับ

เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์-01

2. กดที่รูปโปรไฟล์เพจ 1 ครั้ง แล้วเลือกการตั้งค่าและความเป็นส่วนตัว
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์-02

3. เลือกการตั้งค่า
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์-03

4. เลือกเพจประสบการแบบใหม่
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

5. ด้านบนมุมขวาจะมีคำว่า “เพิ่มใหม่” อยู่ คลิกเพิ่มใหม่ได้เลย
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

6. คลิกคำว่า “ถัดไป” ได้เลยครับ
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

7. พิมพ์ “ชื่อ URLหรืออีเมล” ของคนที่ต้องการเพิ่มเป็นผู้ดูแลเพจโปรไฟล์
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

8. กดให้สิทธิ์การจัดการเพจผู้ดูแลที่จะเชิญ อยู่ที่แต่ละคนว่าจะให้สิทธิ์การเข้าถึงขนาดไหน แล้วกด “ให้สิทธิ์การเข้าถึง” ได้เลย
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

9.กรอกรหัสผ่านบัญชีแล้วกด “ยืนยัน” ได้เลย เพียงเท่านี้ก็เพิ่มผู้ดูเรียบร้อยแล้วนะครับ
เพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์

สรุป
การเพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนเลยครับ หรือถ้าหากใครที่ไม่อยากทำตามขั้นตอนยาวๆ ผมยังมีทางลัดในการเพิ่มผู้ดูแลเพจที่รวดเร็วกว่านี้ เพียงกดที่ลิงก์นี้ แล้วระบบจะพาคุณไปยังหน้าสุดท้ายทันที 👉👉 คลิกเลย สำหรับวิธีเพิ่มผู้ดูแลเพจโปรไฟล์ก็จบไปแล้วครับ แต่ในเว็บไซต์ของเรายังมีความรู้ดีๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการยิงแอด เทคนิคการยิงแอดสายขาวและสายเทา รวมถึงวิธีแก้ปัญหาต่างๆ อย่าลืมเข้าไปศึกษากันนะครับ!

การตลาดออนไลน์ ควรเริ่มต้นจากตรงไหน : แนวทาง และขั้นตอนที่ควรรู้

การตลาดออนไลน์ เป็นเครื่องมือ สำคัญ ที่ช่วยเพิ่ม การรับรู้ และยอดขาย ให้กับ ธุรกิจ ของคุณ การเริ่มต้น ทำการตลาดออนไลน์นั้นต้องมี การวางแผน อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่ดีที่สุด ด้านล่างนี้ เป็นขั้นตอน ที่ควรพิจารณา:

1. กำหนดเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ ในการทำ การตลาดออนไลน์

– ตั้งเป้าหมาย ที่ชัดเจน : เช่น เพิ่มยอดขาย, เพิ่มการรับรู้แบรนด์, เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
– ระบุ กลุ่มเป้าหมาย : ระบุ ว่าใครคือ กลุ่มลูกค้า ที่ต้องการเข้าถึง เช่น อายุ เพศ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ

2. วิเคราะห์ตลาด และคู่แข่ง ในด้าน การตลาดออนไลน์

– ศึกษาตลาด : ทำความเข้าใจ กับตลาด ที่คุณกำลังจะเข้าสู่ เช่น แนวโน้ม ความต้องการ ของผู้บริโภค
– วิเคราะห์ คู่แข่ง : ดูว่าใครคือคู่แข่ง และพวกเขา ใช้กลยุทธ์อะไร ในการทำการตลาดออนไลน์

3. สร้าง และ ปรับปรุง เว็บไซต์ ให้พร้อมสำหรับ การตลาดออนไลน์

– ออกแบบเว็บไซต์ ที่มีประสิทธิภาพ : ให้ความสำคัญ กับ UX/UI ทำให้ใช้งานง่าย และสวยงาม
SEO (Search Engine Optimization) : ปรับปรุง เว็บไซต์ใ ห้รองรับ การค้นหาของ Google เพื่อให้ เว็บไซต์ ปรากฏในหน้าผลลัพธ์ การค้นหา สูงสุด

online marketing การตลาดออนไลน์

4. สร้างเนื้อหา สำหรับ การตลาดออนไลน์ (Content Marketing)

–  เขียนบทความ และ บล็อก : ให้ข้อมูล ที่มีคุณค่า และเกี่ยวข้องกับ สินค้า/บริการ ของคุณ
–  สร้างเนื้อหาวิดีโอ : วิดีโอ น่าสนใจ สามารถดึงดูด ความสนใจ และเพิ่มการมีส่วนร่วม ได้ดี

5. ใช้ โซเชียลมีเดีย สำหรับ การตลาดออนไลน์ (Social Media Marketing)

– เลือก แพลตฟอร์ม ที่เหมาะสม : เช่น Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn เป็นต้น ขึ้นอยู่กับ กลุ่มเป้าหมาย
– โพสต์ เนื้อหา ที่น่าสนใจ : เนื้อหา ที่เป็นประโยชน์ สนุกสนาน หรือ สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อสร้าง การมีส่วนร่วม

6. การโฆษณาออนไลน์ (Online Advertising)

Google Ads : โฆษณา ผ่านการค้นหา บน Google
Facebook Ads/Instagram Ads : โฆษณา ผ่านแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดีย

7. อีเมล์มาร์เก็ตติ้ง (Email Marketing)

–  สร้าง รายชื่อ ผู้รับจดหมาย : สะสมรายชื่อ ผู้สนใจ และลูกค้า ผ่านการ สมัครรับข่าวสาร
–  ส่ง อีเมล์ ที่มีคุณค่า : เช่น ข่าวสาร โปรโมชั่น หรือ บทความ ที่เป็นประโยชน์

8. วัดผล และ ปรับปรุง

– ใช้เครื่องมือ วิเคราะห์ : เช่น Google Analytics เพื่อ วัดผลการทำ การตลาดออนไลน์
– ปรับปรุง กลยุทธ์ : ตามผล ที่ได้รับเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ

KPI Online Marketing การตลาดออนไลน์

ภาพนี้ เป็นภาพ แสดงกรอบงาน RACE Planning Framework สำหรับ การวางแผน การตลาดดิจิทัล

กรอบงาน RACE Planning Framework เป็นกรอบงาน ที่ออกแบบ มาเพื่อช่วยให้นักการตลาด วางแผน จัดการ และปรับแต่งกิจกรรม การตลาดดิจิทัล ของตน กรอบงานนี้ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  • Reach (การเข้าถึง): ขั้นตอนนี้ มุ่งเน้นไปที่ การสร้างการรับรู้ และ เพิ่มจำนวน ผู้ชม สำหรับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณ
  • Act (การกระทำ): ขั้นตอนนี้ มุ่งเน้นไปที่ การมีส่วนร่วม กับผู้ชมเป้าหมายข องคุณ และเปลี่ยนพวกเขา เป็นลูกค้า
  • Convert (การแปลง): ขั้นตอนนี้ มุ่งเน้นไปที่ การแปลงลูกค้าเป้าหมาย ของคุณ เป็นลูกค้า ที่ชำระเงิน
  • Engage (การมีส่วนร่วม): ขั้นตอนนี้ มุ่งเน้นไปที่ การรักษาลูกค้า ที่มีอยู่ และสร้างความภักดี

ในแต่ละขั้นตอน ของกรอบงาน RACE Planning Framework นั้น มีกิจกรรม และการวัดผลที่สำคัญ

Reach

  • จำนวน ผู้ชม
  • คุณภาพ ของผู้ชม
  • มูลค่า และต้นทุน ของผู้ชม

Act

  • จำนวน ผู้เข้าชม
  • เวลา ที่ใช้ บนเว็บไซต์
  • สมาชิก
  • ไลค์ และแชร์

Convert

  • ยอดขาย (ออนไลน์และออฟไลน์)
  • รายได้/กำไร
  • การแปลง และมูลค่า การสั่งซื้อ

Engage

  • การซื้อซ้ำ (มูลค่าตลอดชีวิต)
  • ความพึงพอใจ ของแบรนด์ และความภักดี
  • การสนับสนุน

กรอบงาน RACE Planning Framework เป็นเครื่องมือ ที่มีค่าสำหรับ นักการตลาดดิจิทัล ทุกคน กรอบงานนี้ สามารถช่วยให้นักการตลาด วางแผน และจัดการกิจกรรม การตลาดดิจิทัล ของตน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัดผลลัพธ์ ของกิจกรรมเหล่านี้ และปรับแต่ง กิจกรรมเหล่านี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ กรอบงาน RACE Planning Framework ยังสามารถช่วย ให้นักการตลาดดิจิทัล

  • กำหนดเป้าหมาย และกลยุทธ์ การตลาดดิจิทัล ของตน
  • เข้าใจ ลูกค้าเป้าหมาย ของตน
  • พัฒนาเนื้อหา และประสบการณ์ ที่ดึงดูด ลูกค้า เป้าหมาย ของตน
  • วัดผลลัพธ์ ของการตลาดดิจิทัล ของตน
  • ปรับแต่ง กิจกรรม การตลาดดิจิทัล ของตน ให้เหมาะสม กับผลลัพธ์

หากคุณ กำลังมองหา วิธีวางแผน จัดการ และปรับแต่ง กิจกรรม การตลาดดิจิทัลของคุณ กรอบงาน RACE Planning Framework เป็นเครื่องมือ ที่ยอดเยี่ยม สำหรับคุณ

การทำการตลาดออนไลน์ เป็นกระบวนการ ที่ต้องทำ อย่างต่อเนื่อง การทดลอง และปรับปรุง ตามข้อมูล และผลลัพธ์ ที่ได้รับ จะช่วยให้แคมเปญ ของคุณ ประสบความสำเร็จ มากขึ้น

ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาฟรี และดูตัวอย่างผลงาน ได้ทันที!
m.me/wirewolfstudio
Tel. 061 2623 953
Line : https://lin.ee/9V1S5LZ